Switch my life at Swiss...
เชื่อว่าสวิสเซอร์แลนด์คงเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆคน ด้วยธรรมชาติที่สวยงามของภูเขาและทะเล(สาป) ชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นมิตรของผู้คน รวมถึงการผจญภัยโดยรถไฟที่สะดวกและปลอดภัย ล้วนแล้วแต่ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นหมุดสำคัญที่เราต้องไปให้ได้
สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดน่ารักๆประเทศหนึ่งในยุโรปที่สามารถเดินทางมาได้ทั้งโดยเครื่องบินและรถไฟ...(แต่ไม่น่าจะมีป้ายที่หัวลำโพงนะคะ)
ที่ทิปแนะนำแบบนี้เพราะเผื่อใครเรียนอยู่ที่อังกฤษเหมือนกันก็อาจจะเลือกนั่งรถไฟผ่านเข้ามาทางประเทศฝรั่งเศสได้ค่ะ
แต่การเดินทางของเราครั้งนี้ เนื่องจากเราเลือกที่จะไปเจาะลึกสวิสเซอร์แลนด์ที่เดียว เราเลยใช้วิธีนั่งเครื่องบินมาเลยดีกว่าซึ่งทั้งราคาไม่แพงและที่สำคัญใช้เวลาสั้นมาก จากเกาะอังกฤษเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึง
เราเลือกสายการบินEasy Jet ทำไมน่ะเหรอ ด้วยเหตุผลเดียวเลย คือ ถูก! ค่าเดินทางไป-กลับไม่เกิน 100ปอนด์
ช่วงเวลาที่ทิปไปนี้ คือปลายเดือนที่แล้ว (22-29 July 2014) ซึ่งเป็นช่วงซัมเมอร์ของสวิสพอดี สำหรับช่วงเวลาระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้อาจถือได้ว่าเป็นช่วงhigh seasonของสวิสที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนสวิสเองก็จะหลั่งไหลเข้ามาในสถานที่ที่เป็นที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดูสดใสและครึกครื้นทีเดียวเลยค่ะ
โดยเส้นทางทั้งหมดที่ทิปวางแผนในการเดินทางครั้งนี้ ได้แก่ Geneva-Lausanne-Montrex-Bern-Schilthorn-Jungfrao-Zermatt-Luzern-Pilatus-Zurich-Schaffhausen-Stein am rhein ค่ะ
-Before the journey-
ก่อนการเดินทาง
แน่นอน เราต้องการ passport และ visa ซึ่งวีซ่าที่ใช้ในสวิสเป็นแบบเชงเก้นซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางเข้าออกประเทศยุโรปส่วนใหญ่ได้หมดภายในเวลาที่กำหนดไว้ค่ะ
สำหรับทิป เนื่องจากอยู่ที่อังกฤษอยู่แล้วการขอวีซ่าเชงเก้นจึงอาจจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนักเพราะสามารถเลือกทำได้ทั้งที่สถานฑูตสวิส หรือ officeของvfsที่ตั้งอยู่ที่ลอนดอนได้เลยโดยการกรอกใบสมัครผ่านทาง https://www.vfsglobal.ch/switzerland/uk/Index.html
แล้วจึงนัดเข้าไปยื่นเอกสารพร้อมชำระเงิน (ประมาณ 75ปอนด์) ระยะเวลาตั้งแต่ยื่นเอกสารจนได้รับวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 4-7 วัน
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการไปโลดแล่นในสวิสคือ บัตรSwiss pass ค่ะ บัตรนี้จะทำให้การเดินทางในสวิสเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าการโบกรถเมล์หน้าเซนทรัลลาดพร้าว
เนื่องจากบัตรใบนี้เป็นเหมือนบุฟเฟ่ต์เหมาจ่ายตามจำนวนวันที่เราต้องการ เช่น 4 วัน หรือ 8 วัน ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางในระบบขนส่งมวลชลของภาครัฐได้ทั้งรถไฟ รถราง รถบัส ครุยส์ (เรือล่องทะเลสาป) เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆฟรี
และยังใช้เป็นส่วนลดสูงสุดได้ถึง50%ในการขึ้นcable car หรือยอดเขาต่างๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเสียเงินเข้าชมค่ะ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ ส่วนรายละเอียดการซื้อขายบัตร ทิปซื้อผ่านwebsiteนี้ค่ะ
http://swiss-pass.co.uk/en/swiss-pass
เนื่องจากบัตรใบนี้เป็นเหมือนบุฟเฟ่ต์เหมาจ่ายตามจำนวนวันที่เราต้องการ เช่น 4 วัน หรือ 8 วัน ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางในระบบขนส่งมวลชลของภาครัฐได้ทั้งรถไฟ รถราง รถบัส ครุยส์ (เรือล่องทะเลสาป) เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆฟรี
และยังใช้เป็นส่วนลดสูงสุดได้ถึง50%ในการขึ้นcable car หรือยอดเขาต่างๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเสียเงินเข้าชมค่ะ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ ส่วนรายละเอียดการซื้อขายบัตร ทิปซื้อผ่านwebsiteนี้ค่ะ
http://swiss-pass.co.uk/en/swiss-pass
สำหรับการซื้อจากที่ไทย ทิปทราบมาบ้างว่าการซื้อผ่านเอเจ้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สะดวกและอาจได้รับส่วนลดพิเศษหรือต่อรองของสมนาคุณได้ด้วยนะคะ ซึ่งปัจจุบันมีเอเจ้นให้เลือกสรรมากมายเพียงแค่ปลายนิ้ว
ที่ทิปแนะนำให้ซื้อก่อนเดินทางนั้น เนื่องจากเราคงอุ่นใจกว่าถ้ามีบัตรอยู่ในมือแล้ว ซึ่งอาจทำให้เราไม่ต้องพกเงินมาเพิ่มสำหรับค่าบัตรส่วนนี้ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อยอยู่ และในเวลาจำกัดที่เรามาถึงเราอาจต้องรีบออกเดินทางต่อทันที ซึ่งการมีบัตรไว้ก่อนแล้ว เราก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้ออีกและสามารถเปิดใช้ในการเดินทางครั้งแรกได้เลย
แต่สำหรับคนที่ลังเลอยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะที่จริงเราสามารถหาซื้อบัตรสวิสพาสได้ที่สถานีรถไฟที่อยู่ตรงสนามบินที่เรามาได้เหมือนกันโดยดูได้จากสัญลักษณ์สีแดงนี้ค่ะ ซึ่งราคาค่าตั๋วนั้นก็เท่ากันค่ะ 

-Let's start the journey-
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะออกเดินทางจาก Gatwick Airport ที่ลอนดอน
เพื่อไปลงที่ Geneva Airport สวิตเซอร์แลนด์ค่ะ
เนื่องจาก Gatwick Airport อยู่ห่างจากZone1ของลอนดอนลงไปทางทิศใต้
เราจึงต้องนั่งรถไฟที่สถานี Blackfriars แถวบ้าน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ค่ะ
(Gatwick airport อยู่เลยZone6 ไปนิดนึง ใช้ Oyster card ไม่ได้นะคะ
ต้องมาซื้อตั๋วรถไฟที่สถานี หรือจะเชคเวลาล่วงหน้าแล้วจองผ่านwebsite http://www.thetrainline.com/train-times ก็ได้ค่ะ)
![]() |
3 AM at Blackfriars Station |
เรามาถึงสถานีรถไฟตอนตี 3 เพื่อไปขึ้นเครื่องบินเวลา 6 โมงเช้าค่ะ
สภาพสถานีเงียบกริบจนสามารถทำรันเวย์ให้เครื่องบินลงจอดได้
แตกต่างจากช่วงเวลากลางวันที่มีผู้คนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน
ใครบอกว่าลอนดอนเป็นเมืองที่แสนจะวุ่นวาย ก็ลองมาตอนตีสามสิคะ
ตี 4 เราก็มาถึงสนามบิน นึกว่าจะเงียบเหงาที่ไหนได้ Duty free ที่นี่ก็เปิดตลอด 24ชม.เหมือนกัน
ถ้าใครคิดว่ามาที่ Gatwick Airport แล้วจะไม่มีอะไรทำ ทิปว่าต้องคิดใหม่และเตรียมเงินมาเยอะๆแทนค่ะ
![]() |
4 AM at Gatwick Airport |
![]() |
Gatwick airport |
นอนเอาแรงจนถึงเวลานัดหมาย แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยเจ้าเล็บส้มไปสู่ เจนีวาาาาาา
![]() |
Arrived! |
เมื่อเริ่มมองเห็นแผ่นดินสีเขียวโผล่พ้นจากผืนน้ำออกมา ก็ทำให้รู้ว่าเรามาถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้ว
หลังจากจัดการเรื่องimmigrationเสร็จแล้ว
เนื่องจากเราไม่ได้โหลดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย เราจึงเดินตรงออกมาแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นสวิสมาก ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ เพื่อออกมาหาสถานีรถไฟ
![]() |
Lovely cafe in Geneva Airport |
เมื่อเดินเลยคาเฟ่ร้านนี้มาหน่อยเราก็จะเห็นประตูทางออกของสนามบิน
ซึ่งจะสามารถไปขึ้นรถไฟหรือรถบัสได้ค่ะ
ซึ่งจะสามารถไปขึ้นรถไฟหรือรถบัสได้ค่ะ
![]() |
Connect to train station(G floor), and bus stop(upper floor) |
เราก็จะต้องไปทำการเปิดใช้งานก่อนค่ะ
โดยการเอาบัตรสวิสพาสที่เราซื้อมาก่อนแล้วนั้นไปขอเปิดใช้บริการ (พร้อมกับแสดงpassport)
ที่ออฟฟิสที่อยู่ที่ชั้น1 ทางด้านขวามือค่ะ
ส่วนใครที่ยังไม่มีสวิสพาส ก็สามารถซื้อได้ที่นี่เหมือนกันค่ะ
![]() |
Train to Geneva (downtown) (15 mins) |
นั่งมาแค่ 15 นาที ก็มาถึง Geneva train station ลงมาจากรถไฟแล้ว ทิปมีแพลนจะไปเดินเล่นชมเมืองนิดหน่อย โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การมาตามหาน้ำพุกลางทะเลสาบค่ะ
ก่อนออกจากสถานี ก็มาเจอร้านขาย macaroon ยั่วตายั่วใจ
แต่ ไม่ได้! ภารกิจเราสำคัญกว่านั้น
ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไปหยิบมาสองชิ้น...
![]() |
A shop in the train station |
เดินต่อมาทางด้านซ้ายก็จะเจอกับทางออกสถานีรถไฟค่ะ
ถ้าใครสงสัยอะไร จะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ตรงกลางทางออกคอยช่วยเหลืออยู่ค่ะ
ออกมาจากตัวสถานีรถไฟ คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะยังถือว่าเช้าอยู่สำหรับนักท่องเที่ยว และฝนก็คงเพิ่งหยุดตกไปด้วยค่ะ อากาศเลยเย็นๆชื้นๆ
![]() |
In front of the train station |
เดินข้ามถนนหน้าสถานีรถไฟ แล้วเดินเข้าไปบนถนนสำหรับคนเดิน
ซึ่งจะเป็นทางไปสู่สะพานข้ามทะเลสาบ ซึ่งบนถนนนี้จะมีร้านค้าต่างๆเรียงรายอยู่สองข้างทาง
Walk way to Jet d'Eau
ถ้าใครมองหา sim card เพื่อใช้โทรศัพท์หรืออินเทอร์เนต
บนถนนเส้นนี้ก็จะมีร้าน Orange ตั้งอยู่ด้านขวามือค่ะ
เดินต่อมาเรื่อยๆจนเจอกับสี่แยกที่มีถนนข้ามทะเลสาบ
Pont du Mont-Blanc (the bridge to Jet d'Eau)
หันไปทางขวา
ว๊ายย เจอน้ำพุแบบไม่ทันตั้งตัว
แต่อยู่ตรงนี้ไม่เปียก ขอเข้าไปใกล้กว่านี้อีกดีกว่า ว่าแล้วเราก็เดินต่อเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง
เจนีวาแม้จะเป็นเมืองใหญ่และมีความสำคัญเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านอนุสัญญาระหว่างประเทศ 555 แต่ช่วงที่ไปก็ไม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวมากมายนัก
ส่วนใหญ่ดูจะเป็นคนทำงานเดินไปเดินมามากกว่า
แต่การที่ได้เดินไปทำงานตอนเช้าๆ ข้ามสะพาน ดูวิวน้ำพุและทะเลสาบ
ก็คงช่วยให้วันทำงานสดชื่นขึ้นมากนะคะ
เราเดินมาถึงกลางสะพาน มองไปทางซ้ายมือก็เจอกับเกาะกลางน้ำ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ Rousseau ฟังแล้วเหมือนจะไม่รู้จัก
แต่ที่จริงท่านก็คือ ฌอง ฌาค รุสโซ่ นักคิดและนักปรัชญาในสมัยยุคแสงสว่างแห่งปัญญา
ที่เชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดีที่ถูกปลุกเร้านั่นเอง อย่าถามต่อนะคะจำได้แค่นี้..
...หลุดไปซะไกลเลย กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า
ปัจจุบันเกาะกลางน้ำแห่งนี้ เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่
และมีTea Roomน่ารักๆตั้งอยู่ด้วยค่ะ
![]() |
Rousseau Island (on the right hand side of the bridge) |
ตลอดทางที่เดินข้ามมาจนถึงอีกฝั่งของสะพาน ก็จะเห็นแต่สายที่ระโยงระยางอยู่บนถนน
มันไม่ใช่สายไฟฟ้า แต่เป็นสายเคเบิ้ลของรถบัส ซึ่งเมืองใหญ่ๆในสวิสจะใช้วิธีนี้กันหมดค่ะ
![]() |
Turn right first and walk under the bridge to the left side |
เราเดินเลี้ยวขวาลงสะพาน เพื่อมุดไปอีกด้านที่มีชิงช้าสวรรค์
ซึ่งเป็นฝั่งที่เป็นที่ตั้งของน้ำพุที่เรามาตามหาค่ะ
![]() |
View under the bridge |
บรรยากาศใต้สะพานสงบและร่มรื่นเหมาะกับการโดดงานแล้วเอาแซนวิชมานั่งกิน
![]() |
Boat for Geneva Lake, and other routes |
เมื่อเดินลอดใต้สะพานขึ้นมาอีกฝั่ง ก็เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น
มีเรือล่องทะเลสาบให้บริการ (ถ้ามี Swiss Pass หรือ Eurail ขึ้น Free ค่ะ)
ถ้าใครขี้เกียจเดินเลียบริมน้ำชมวิว ซึ่งก็เป็นระยะทางพอสมควร
การนั่งชมวิวเมืองทั้งสองฝั่งจากบนเรือก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ
(ที่จริงยังมีเส้นทางให้เลือกอีกหลายrouteนะคะ
เช่น อาจจะนั่งไป Lausanne หรือ Montreux ก็ได้ค่ะ)
สามารถเชครอบและราคาผ่าน http://www.cgn.ch/en-gb/accueil.aspx ได้ค่ะ
เราตกลงไม่ขึ้นเรือเพราะยังมีโปรแกรมอีกหลายเมืองที่จะต้องไปในวันนี้
เลยเดินเลียบทะเลสาบไปกราบสวัสดีน้ำพุแทนดีกว่า
![]() |
Walk to Jet d'Eau |
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักที่จะเดินไปชมน้ำพุ จึงมีนักท่องเที่ยวเดินเล่นอยู่ตามทางมากมาย
ส่วนคนสวิสก็ใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางวิ่งjogging ซึ่งคงจะทำให้อยากใช้เวลาวิ่งนานขึ้นกว่าการวิ่งในฟิตเนสแน่ๆเลยค่ะ
มีร้านขายของที่ระลึกริมทางเดิน
มีชิงช้าสวรรค์ด้วย สงสัยตอนเย็นจะมีงานวัด แต่ตอนทิปไปมันยังไม่เปิด
![]() |
Souvenir shop along the way |
เดินต่อมาเรื่อยๆจนเจอวงเวียนเล็ก
walk pass a roundabout
เดินใกล้เข้ามาอีก ก็เริ่มเห็นท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่มากมาย สงสัยคนที่นี่จะขับเรือมาทำงานค่ะ
มีเรือลำใหญ่ที่จริงๆแล้วคือร้านอาหารลอยน้ำที่มีฉากหลังเป็นน้ำพุ
![]() |
Floating restaurant in Geneva Lake เริ่มเปียกแล้วววว |
![]() |
Jet d'Eau / The Geneva Water Fountain ในที่สุดก็ได้เจอซะที Jet d'Eau น้ำพุแห่งทะเลสาบเจนีวา สูงมากกก ต้องมีพญานาคพ่นน้ำอยู่ข้างล่างแน่ๆ |
กำลังคำนวณความสูง น่าจะสูงกว่าเราประมาณ3เท่า คริๆ
เค้าบอก นี่หนู ไม่ต้องพยายามขนาดนั้น เครื่องวัดความสูงของน้ำพุอยู่นี่ 555
น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวเป็ดเลย
ข้างๆทางเดินเข้าน้ำพุจะมี cafe เล็กๆ (หรือจะเรียกว่าเพิงก็ได้ค่ะ)
มีขายพวกเครื่องดื่มและขนมปังค่ะ
นั่งจิบชอคโกแลตสวิส พร้อมกับชมวิวน้ำพุนี่มันช่างเหมาะกับการเริ่มต้นการเดินทางจริงๆ
สนนราคาก็ไม่แพงค่ะเมื่อเทียบกับบรรยากาศแสนสดชื่นตืนตาพาโนรามาวิวและละอองน้ำที่ได้รับ
hot chocolate ประมาณ 4CHF ค่ะ ส่วน coffee ก็ 5-7CHF ค่ะ
หลังจากนั้น เราก็เดินกลับมาทางสะพานเดิม เพื่อจะกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานี