Monday, 25 August 2014

[Ep.1] ++( Geneva-Lausanne-Montrex )++ แบกเป้ หนีเรียน ข้ามฝั่ง ไปสวิส [Summer Swiss]

Switch my life at Swiss...
เชื่อว่าสวิสเซอร์แลนด์คงเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆคน ด้วยธรรมชาติที่สวยงามของภูเขาและทะเล(สาป) ชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นมิตรของผู้คน รวมถึงการผจญภัยโดยรถไฟที่สะดวกและปลอดภัย ล้วนแล้วแต่ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นหมุดสำคัญที่เราต้องไปให้ได้

สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดน่ารักๆประเทศหนึ่งในยุโรปที่สามารถเดินทางมาได้ทั้งโดยเครื่องบินและรถไฟ...(แต่ไม่น่าจะมีป้ายที่หัวลำโพงนะคะ)
ที่ทิปแนะนำแบบนี้เพราะเผื่อใครเรียนอยู่ที่อังกฤษเหมือนกันก็อาจจะเลือกนั่งรถไฟผ่านเข้ามาทางประเทศฝรั่งเศสได้ค่ะ

แต่การเดินทางของเราครั้งนี้ เนื่องจากเราเลือกที่จะไปเจาะลึกสวิสเซอร์แลนด์ที่เดียว เราเลยใช้วิธีนั่งเครื่องบินมาเลยดีกว่าซึ่งทั้งราคาไม่แพงและที่สำคัญใช้เวลาสั้นมาก จากเกาะอังกฤษเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึง
เราเลือกสายการบินEasy Jet ทำไมน่ะเหรอ ด้วยเหตุผลเดียวเลย คือ ถูก! ค่าเดินทางไป-กลับไม่เกิน 100ปอนด์ 

ช่วงเวลาที่ทิปไปนี้ คือปลายเดือนที่แล้ว (22-29 July 2014) ซึ่งเป็นช่วงซัมเมอร์ของสวิสพอดี สำหรับช่วงเวลาระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้อาจถือได้ว่าเป็นช่วงhigh seasonของสวิสที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนสวิสเองก็จะหลั่งไหลเข้ามาในสถานที่ที่เป็นที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดูสดใสและครึกครื้นทีเดียวเลยค่ะ
โดยเส้นทางทั้งหมดที่ทิปวางแผนในการเดินทางครั้งนี้ ได้แก่ Geneva-Lausanne-Montrex-Bern-Schilthorn-Jungfrao-Zermatt-Luzern-Pilatus-Zurich-Schaffhausen-Stein am rhein ค่ะ

-Before the journey-
ก่อนการเดินทาง 
แน่นอน เราต้องการ passport และ visa ซึ่งวีซ่าที่ใช้ในสวิสเป็นแบบเชงเก้นซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางเข้าออกประเทศยุโรปส่วนใหญ่ได้หมดภายในเวลาที่กำหนดไว้ค่ะ 
สำหรับทิป เนื่องจากอยู่ที่อังกฤษอยู่แล้วการขอวีซ่าเชงเก้นจึงอาจจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนักเพราะสามารถเลือกทำได้ทั้งที่สถานฑูตสวิส หรือ officeของvfsที่ตั้งอยู่ที่ลอนดอนได้เลยโดยการกรอกใบสมัครผ่านทาง https://www.vfsglobal.ch/switzerland/uk/Index.html
แล้วจึงนัดเข้าไปยื่นเอกสารพร้อมชำระเงิน (ประมาณ 75ปอนด์) ระยะเวลาตั้งแต่ยื่นเอกสารจนได้รับวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 4-7 วัน

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการไปโลดแล่นในสวิสคือ บัตรSwiss pass ค่ะ บัตรนี้จะทำให้การเดินทางในสวิสเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าการโบกรถเมล์หน้าเซนทรัลลาดพร้าว
 เนื่องจากบัตรใบนี้เป็นเหมือนบุฟเฟ่ต์เหมาจ่ายตามจำนวนวันที่เราต้องการ เช่น 4 วัน หรือ 8 วัน ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางในระบบขนส่งมวลชลของภาครัฐได้ทั้งรถไฟ รถราง รถบัส ครุยส์ (เรือล่องทะเลสาป) เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆฟรี
 และยังใช้เป็นส่วนลดสูงสุดได้ถึง50%ในการขึ้นcable car หรือยอดเขาต่างๆ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเสียเงินเข้าชมค่ะ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ ส่วนรายละเอียดการซื้อขายบัตร ทิปซื้อผ่านwebsiteนี้ค่ะ
http://swiss-pass.co.uk/en/swiss-pass  
สำหรับการซื้อจากที่ไทย ทิปทราบมาบ้างว่าการซื้อผ่านเอเจ้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สะดวกและอาจได้รับส่วนลดพิเศษหรือต่อรองของสมนาคุณได้ด้วยนะคะ ซึ่งปัจจุบันมีเอเจ้นให้เลือกสรรมากมายเพียงแค่ปลายนิ้ว 

ที่ทิปแนะนำให้ซื้อก่อนเดินทางนั้น เนื่องจากเราคงอุ่นใจกว่าถ้ามีบัตรอยู่ในมือแล้ว ซึ่งอาจทำให้เราไม่ต้องพกเงินมาเพิ่มสำหรับค่าบัตรส่วนนี้ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อยอยู่ และในเวลาจำกัดที่เรามาถึงเราอาจต้องรีบออกเดินทางต่อทันที ซึ่งการมีบัตรไว้ก่อนแล้ว เราก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้ออีกและสามารถเปิดใช้ในการเดินทางครั้งแรกได้เลย

แต่สำหรับคนที่ลังเลอยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะที่จริงเราสามารถหาซื้อบัตรสวิสพาสได้ที่สถานีรถไฟที่อยู่ตรงสนามบินที่เรามาได้เหมือนกันโดยดูได้จากสัญลักษณ์สีแดงนี้ค่ะ ซึ่งราคาค่าตั๋วนั้นก็เท่ากันค่ะ 


-Let's start the journey-

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราจะออกเดินทางจาก Gatwick Airport ที่ลอนดอน
เพื่อไปลงที่ Geneva Airport สวิตเซอร์แลนด์ค่ะ
เนื่องจาก Gatwick Airport อยู่ห่างจากZone1ของลอนดอนลงไปทางทิศใต้
เราจึงต้องนั่งรถไฟที่สถานี Blackfriars แถวบ้าน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ค่ะ 
 (Gatwick airport อยู่เลยZone6 ไปนิดนึง ใช้ Oyster card ไม่ได้นะคะ 
ต้องมาซื้อตั๋วรถไฟที่สถานี หรือจะเชคเวลาล่วงหน้าแล้วจองผ่านwebsite http://www.thetrainline.com/train-times ก็ได้ค่ะ) 

3 AM at Blackfriars Station
เรามาถึงสถานีรถไฟตอนตี 3 เพื่อไปขึ้นเครื่องบินเวลา 6 โมงเช้าค่ะ 
สภาพสถานีเงียบกริบจนสามารถทำรันเวย์ให้เครื่องบินลงจอดได้
 แตกต่างจากช่วงเวลากลางวันที่มีผู้คนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน 
ใครบอกว่าลอนดอนเป็นเมืองที่แสนจะวุ่นวาย ก็ลองมาตอนตีสามสิคะ

ตี 4 เราก็มาถึงสนามบิน นึกว่าจะเงียบเหงาที่ไหนได้ Duty free ที่นี่ก็เปิดตลอด 24ชม.เหมือนกัน
 ถ้าใครคิดว่ามาที่ Gatwick Airport แล้วจะไม่มีอะไรทำ ทิปว่าต้องคิดใหม่และเตรียมเงินมาเยอะๆแทนค่ะ

4 AM at Gatwick Airport
Gatwick airport
นอนเอาแรงจนถึงเวลานัดหมาย แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยเจ้าเล็บส้มไปสู่ เจนีวาาาาาา

Arrived!
เมื่อเริ่มมองเห็นแผ่นดินสีเขียวโผล่พ้นจากผืนน้ำออกมา ก็ทำให้รู้ว่าเรามาถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้ว

หลังจากจัดการเรื่องimmigrationเสร็จแล้ว
 เนื่องจากเราไม่ได้โหลดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย เราจึงเดินตรงออกมาแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นสวิสมาก ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ เพื่อออกมาหาสถานีรถไฟ
Lovely cafe in Geneva Airport
เมื่อเดินเลยคาเฟ่ร้านนี้มาหน่อยเราก็จะเห็นประตูทางออกของสนามบิน
ซึ่งจะสามารถไปขึ้นรถไฟหรือรถบัสได้ค่ะ

An exit on the left of the airport

เมื่อออกมาจากสนามบินตามป้ายแล้ว ก็จะเจอกับโถงทางเชื่อมเพื่อไปยังสถานีรถไฟ
ซึ่งชั้นล่างที่เห็นก็จะเป็นทางเดินตรงไฟเพื่อไปขึ้นรถไฟ

แต่ถ้าขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นบนนี้ก็จะมีทางออกไปที่ป้ายรถบัส
ซึ่งสามารถเข้าไปที่ตัวเมืองได้เหมือนกันค่ะ
Connect to train station(G floor), and bus stop(upper floor)
ก่อนขึ้นรถไฟเข้าไปที่ downtown ของ Geneva ถ้าเราต้องการใช้สวิสพาสตั้งแต่วันนี้เลย
เราก็จะต้องไปทำการเปิดใช้งานก่อนค่ะ
โดยการเอาบัตรสวิสพาสที่เราซื้อมาก่อนแล้วนั้นไปขอเปิดใช้บริการ (พร้อมกับแสดงpassport)
ที่ออฟฟิสที่อยู่ที่ชั้น1 ทางด้านขวามือค่ะ
ส่วนใครที่ยังไม่มีสวิสพาส ก็สามารถซื้อได้ที่นี่เหมือนกันค่ะ
Activate your swiss pass here

หลังจากจัดการเรื่องสวิสพาสเรียบร้อยแล้ว 
เราก็รีบมาขึ้นรถไฟไปยังดาวน์ทาวน์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ส่วนรถไฟจะมาทุกประมาณครึ่งชม.ค่ะ
จริงๆแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟในสวิสถือเป็นการเดินทางที่ทั้งสะดวก ง่ายและปลอดภัยที่สุด
 เนื่องจากระบบรถไฟของสวิสมีมาตรฐานที่ดีเยี่ยม
 เข้าถึงทุกซอกหลืบ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ 
นอกจากนี้ยังสามารถมั่นใจได้ว่าจะถึงจุดหมายที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนดเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน(แม้นาทีเดียว) 
เพราะฉะนั้น ถ้าเราสายไปนาทีหนึ่งก็เตรียมรอขบวนหน้าได้เลย
แต่ถ้ารถไฟมาช้าไปนาทีนึง ถือว่าเราโชคดีมาก น้อยคนนักที่จะได้เจอเมื่อมาสวิส เพราะฉะนั้นกลับบ้านไปอย่าลืมซื้อสลากกินแบ่งด้วยค่ะ

[สำหรับการเชคเวลาเดินรถไฟในสวิส นอกจากการดูที่บอร์ดที่ติดไว้ตามสถานีรถไฟแล้ว
 อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและสะดวกมาก คือ 
การเชคเวลาผ่าน Application 'Rail planner'
ซึ่งนอกจากจะแสดงรอบของรถไฟตลอดทั้งวันแล้ว ยังช่วยแพลนการเดินทางของเราให้หมดว่าจะต้องไปต่อสายไหน รอบกี่โมง จอดกี่ป้าย บนรถคันนี้จะมีrestaurantมั้ย แหม มันช่างดีเลิศจริงๆ
สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือ วิ่ง4คูณ100 ไปขึ้นรถไฟให้ทันค่ะ]



กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็พอดี 10 โมงเช้า เราจึงรีบออกเดินทางสู่ตัวเมืองเจนีวา
platformที่เราจะต้องขึ้นนี้จะอยู่ชั้นล่างอีกทีหนึ่ง 
โดยเมื่อเราออกจากออฟฟิสที่ไปเปิดใช้งานสวิสพาสแล้ว
 ก็เดินต่อไปอีกและลงบันไดเลื่อนไป ก็จะเจอค่ะ
Train to Geneva (downtown) (15 mins)

นั่งมาแค่ 15 นาที ก็มาถึง Geneva train station ลงมาจากรถไฟแล้ว ทิปมีแพลนจะไปเดินเล่นชมเมืองนิดหน่อย โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การมาตามหาน้ำพุกลางทะเลสาบค่ะ

ก่อนออกจากสถานี ก็มาเจอร้านขาย macaroon ยั่วตายั่วใจ
แต่ ไม่ได้! ภารกิจเราสำคัญกว่านั้น 
ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไปหยิบมาสองชิ้น...

A shop in the train station
เดินต่อมาทางด้านซ้ายก็จะเจอกับทางออกสถานีรถไฟค่ะ 
ถ้าใครสงสัยอะไร จะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ตรงกลางทางออกคอยช่วยเหลืออยู่ค่ะ
In front of the train station
ออกมาจากตัวสถานีรถไฟ คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะยังถือว่าเช้าอยู่สำหรับนักท่องเที่ยว และฝนก็คงเพิ่งหยุดตกไปด้วยค่ะ อากาศเลยเย็นๆชื้นๆ


เดินข้ามถนนหน้าสถานีรถไฟ แล้วเดินเข้าไปบนถนนสำหรับคนเดิน
ซึ่งจะเป็นทางไปสู่สะพานข้ามทะเลสาบ ซึ่งบนถนนนี้จะมีร้านค้าต่างๆเรียงรายอยู่สองข้างทาง
Walk way to Jet d'Eau

ถ้าใครมองหา sim card เพื่อใช้โทรศัพท์หรืออินเทอร์เนต
 บนถนนเส้นนี้ก็จะมีร้าน Orange ตั้งอยู่ด้านขวามือค่ะ


เดินต่อมาเรื่อยๆจนเจอกับสี่แยกที่มีถนนข้ามทะเลสาบ
Pont du Mont-Blanc (the bridge to Jet d'Eau)

หันไปทางขวา 


หันมาทางซ้ายบ้าง

ว๊ายย เจอน้ำพุแบบไม่ทันตั้งตัว
แต่อยู่ตรงนี้ไม่เปียก ขอเข้าไปใกล้กว่านี้อีกดีกว่า ว่าแล้วเราก็เดินต่อเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง

 เจนีวาแม้จะเป็นเมืองใหญ่และมีความสำคัญเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านอนุสัญญาระหว่างประเทศ 555 แต่ช่วงที่ไปก็ไม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวมากมายนัก 
ส่วนใหญ่ดูจะเป็นคนทำงานเดินไปเดินมามากกว่า 
แต่การที่ได้เดินไปทำงานตอนเช้าๆ ข้ามสะพาน ดูวิวน้ำพุและทะเลสาบ 
ก็คงช่วยให้วันทำงานสดชื่นขึ้นมากนะคะ

เราเดินมาถึงกลางสะพาน มองไปทางซ้ายมือก็เจอกับเกาะกลางน้ำ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ Rousseau ฟังแล้วเหมือนจะไม่รู้จัก
 แต่ที่จริงท่านก็คือ ฌอง ฌาค รุสโซ่ นักคิดและนักปรัชญาในสมัยยุคแสงสว่างแห่งปัญญา 
ที่เชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดีที่ถูกปลุกเร้านั่นเอง อย่าถามต่อนะคะจำได้แค่นี้..

...หลุดไปซะไกลเลย กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า
ปัจจุบันเกาะกลางน้ำแห่งนี้ เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่
 และมีTea Roomน่ารักๆตั้งอยู่ด้วยค่ะ 
Rousseau Island (on the right hand side of the bridge)


ตลอดทางที่เดินข้ามมาจนถึงอีกฝั่งของสะพาน ก็จะเห็นแต่สายที่ระโยงระยางอยู่บนถนน 
มันไม่ใช่สายไฟฟ้า แต่เป็นสายเคเบิ้ลของรถบัส ซึ่งเมืองใหญ่ๆในสวิสจะใช้วิธีนี้กันหมดค่ะ
Turn right first and walk under the bridge to the  left side
เราเดินเลี้ยวขวาลงสะพาน เพื่อมุดไปอีกด้านที่มีชิงช้าสวรรค์
 ซึ่งเป็นฝั่งที่เป็นที่ตั้งของน้ำพุที่เรามาตามหาค่ะ

View under the bridge
บรรยากาศใต้สะพานสงบและร่มรื่นเหมาะกับการโดดงานแล้วเอาแซนวิชมานั่งกิน

Boat for Geneva Lake, and other routes
เมื่อเดินลอดใต้สะพานขึ้นมาอีกฝั่ง ก็เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเยอะขึ้น
มีเรือล่องทะเลสาบให้บริการ (ถ้ามี Swiss Pass หรือ Eurail ขึ้น Free ค่ะ) 
ถ้าใครขี้เกียจเดินเลียบริมน้ำชมวิว ซึ่งก็เป็นระยะทางพอสมควร
 การนั่งชมวิวเมืองทั้งสองฝั่งจากบนเรือก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ
(ที่จริงยังมีเส้นทางให้เลือกอีกหลายrouteนะคะ 
เช่น อาจจะนั่งไป Lausanne หรือ Montreux ก็ได้ค่ะ)
สามารถเชครอบและราคาผ่าน http://www.cgn.ch/en-gb/accueil.aspx ได้ค่ะ

เราตกลงไม่ขึ้นเรือเพราะยังมีโปรแกรมอีกหลายเมืองที่จะต้องไปในวันนี้ 
เลยเดินเลียบทะเลสาบไปกราบสวัสดีน้ำพุแทนดีกว่า
Walk to Jet d'Eau
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักที่จะเดินไปชมน้ำพุ จึงมีนักท่องเที่ยวเดินเล่นอยู่ตามทางมากมาย
ส่วนคนสวิสก็ใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางวิ่งjogging ซึ่งคงจะทำให้อยากใช้เวลาวิ่งนานขึ้นกว่าการวิ่งในฟิตเนสแน่ๆเลยค่ะ

มีร้านขายของที่ระลึกริมทางเดิน 
มีชิงช้าสวรรค์ด้วย สงสัยตอนเย็นจะมีงานวัด แต่ตอนทิปไปมันยังไม่เปิด
Souvenir shop along the way
เดินต่อมาเรื่อยๆจนเจอวงเวียนเล็ก
walk pass a roundabout

เดินใกล้เข้ามาอีก ก็เริ่มเห็นท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่มากมาย สงสัยคนที่นี่จะขับเรือมาทำงานค่ะ
มีเรือลำใหญ่ที่จริงๆแล้วคือร้านอาหารลอยน้ำที่มีฉากหลังเป็นน้ำพุ
Floating restaurant in Geneva Lake

เริ่มเปียกแล้วววว
Jet d'Eau / The Geneva Water Fountain
ในที่สุดก็ได้เจอซะที Jet d'Eau น้ำพุแห่งทะเลสาบเจนีวา 
สูงมากกก ต้องมีพญานาคพ่นน้ำอยู่ข้างล่างแน่ๆ

กำลังคำนวณความสูง น่าจะสูงกว่าเราประมาณ3เท่า คริๆ
เค้าบอก นี่หนู ไม่ต้องพยายามขนาดนั้น เครื่องวัดความสูงของน้ำพุอยู่นี่ 555
น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวเป็ดเลย

ข้างๆทางเดินเข้าน้ำพุจะมี cafe เล็กๆ (หรือจะเรียกว่าเพิงก็ได้ค่ะ) 
มีขายพวกเครื่องดื่มและขนมปังค่ะ
นั่งจิบชอคโกแลตสวิส พร้อมกับชมวิวน้ำพุนี่มันช่างเหมาะกับการเริ่มต้นการเดินทางจริงๆ
สนนราคาก็ไม่แพงค่ะเมื่อเทียบกับบรรยากาศแสนสดชื่นตืนตาพาโนรามาวิวและละอองน้ำที่ได้รับ
  hot chocolate ประมาณ 4CHF ค่ะ ส่วน coffee ก็ 5-7CHF ค่ะ


หลังจากนั้น เราก็เดินกลับมาทางสะพานเดิม เพื่อจะกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานี
Space cycles!! นี่มัน..สามล้ออวกาศ

หลังจากได้ชมน้ำพุสมใจแล้ว ก็กลับมาขึ้นรถไฟที่ Geneva Station 
เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่สอง นั่นคือ Lausanne ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเลียบทะเลสาบขึ้นไปไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที 
รถไฟระหว่างสองเมืองนี้มีทุกประมาณ 15 นาทีค่ะ ไม่ต้องวิ่ง

On the train to Lausanne (45 mins from Geneva)

เมื่อมาถึงโลซาน (Lausanne) เราก็จัดการเก็บสัมภารกของเราทั้งหมดไว้ในตู้เก็บของที่สถานี
[ลืมบอกไปว่า ทุกๆสถานีรถไฟในสวิสจะมีตู้เก็บสัมภาระไว้ให้บริการค่ะ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ก็สามารถแวะเที่ยวแต่ละเมืองได้ โดยการฝากของไว้ที่ตู้แบบนี้ก่อน ซึ่งก็จะมีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนใหญ่สุดให้เลือกสรรมากมายเก็บของได้ทุกไซส์แน่นอนค่ะ
ส่วนราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 4-9 CHF ต่อวัน ค่ะ
คำเตือน: เปิดได้แค่ครั้งเดียวนะคะ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องคิดดีๆนิดนึงว่าจะฝากอะไรบ้าง]
Baggage locker in every train stations (4-9CHF/Day; depends on sizes)
หลังจากจัดการยัดกระเป๋าทั้งหมดลงไปในล็อคเกอร์ได้แล้ว
 เราก็เดินขึ้นมาชั้นบนเพื่อออกมาด้านนอกสถานี
แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีร้านแมคโดนัลด์ 
ซึ่งจะมีสถานีรถไฟอีกอันหนึ่งเป็นเหมือน city train วิ่งผ่านจุดสำคัญต่างๆของเมืองค่ะ


City train opposite Lausanne train station (to Ouchy)
สำหรับ city train นี้ก็สามารถใช้ swiss pass ขึ้น free เหมือนกันค่ะ

โลซานเป็นเมืองที่คนไทยคงรู้จักกันดี หรืออย่างน้อยก็ต้องคุ้นเคยกับชื่อนี้อยู่บ้าง เนื่องจากเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเคยพำนักในสมัยที่ยังทรงพระเยาว์

แต่นอกจากนี้ ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่เลียบทะเลสาบเจนีวา 
จึงทำให้โลซานเป็นเมืองที่มีบรรยากาศสวยงามด้วยวิวทะเลสาบที่กว้างใหญ่ 
เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของทั้งนักท่องเที่ยวและคนสวิสเอง

โลซานยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญของโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ สำนักงานใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิคสากล 
แหม ได้ยินปุ๊บก็อยากจะออกกำลังกายขึ้นมาทันทีเลย
โอเค ชุดพร้อม ใจพร้อม งั้นทิปจะพาทุกคนไปคัดตัวนักกีฬาด้วยกันนะคะ
To the last station..Ouchy
เย้ ได้ยืนหน้าสุด 
สภาพรางรถไฟก็จะตรงๆแบบนี้ตั้งแต่เหนือไปจนใต้สุดค่ะ มีประมาณ 14 สถานี
สถานที่แรกที่เราจะไปคือ Ouchy อยู่ทางใต้สุดค่ะ(ลงป้ายOuchyได้เลย) 
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะริมทะเลสาบเจนีวา (อีกละ) ไม่ต้องตกใจค่ะ ทิปไม่ได้พาทุกคนย้อนกลับไปเจนีวา แต่เนื่องจากทะเลสาบเจนีวาเนี่ยมันกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายเมืองค่ะ
ที่เราเห็นข้างหน้าไกลๆนั่นก็คือทะเลสาบแล้วค่ะ

Park in Ouchy
ออกจากสถานีOuchyมา สิ่งแรกที่เจอคือ สนามเด็กเล่น..เล่นจนแทบอาเจียน


มีลานประลองหมา กรุก..เอ้ย หมาก รุก
Boats for hire
มีเรือจอดอยู่เยอะมากค่ะ
เราสามารถเช่าเรือส่วนตัวออกไปล่องทะเลสาบได้นะคะ
แต่ตอนที่ไปอากาศไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไหร่ เลยไม่ได้เช่าค่ะ
ที่จริงถึงอากาศจะดีก็คงไม่เช่าค่ะ เปลืองเงิน

หรือจะลองแบบนี้
OMG! I love it!
โอ้ว พระเจ้า..นี่มันนวัตกรรมที่ชาวโลกรอคอย
เรือสวนน้ำสวนสนุก2IN1 ที่สวนลุมยังต้องชิดซ้าย
มีหลายแบบให้เลือกเลยค่ะ ทั้งสไลด์เดอร์ยักษ์ เก้าอี้ชายหาดบางแสน
นี่ถ้าไม่ติดว่าลืมเอาชุดว่ายน้ำมานะ!


แถวสวนสาธารณะนี้ก็จะมีคาเฟ่ ร้านอาหาร และโรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ
Cafe, restaurants and hotels opposite the park (along the way to the Olympic Museum)
จากสวนสาธารณะ เราเดินเลียบริมทะเลสาบต่อมา เพื่อจะไปคัดตัวนักกีฬาโอลิมปิก
feeling the sense of Olympics (where?!)
เริ่มได้กลิ่นอายของโอลิมปิก



Yes! Olympic board.
นี่ไง.. บอร์ดโอลิมปิก


ตลอดทางเดินไปยังพิพิธภัณฑ์โอลิมปิก ทางด้านขวามือก็จะมีทะเลสาบเจนีวาอยู่เป็นเพื่อนค่ะ
ใช้เวลาเดินไม่เกิน 10 นาทีก็มาถึงแล้ว


An entrance to the Olympic Museum


It's art.
มันคือ..ศิลปะ นะคะ
เดินขึ้นบันไดทางด้านซ้ายมือของรูปปั้นซิกแพ็คมา ก็จะมีงานศิลปะแขนงอื่นละลานตาอยู่ในสวนค่ะ



เมื่อมองลงไปด้านล่าง ก็จะเห็นทะเลสาบที่เราเดินมา

เอ..ว่าแต่เราจะแข่งอะไรดี


ฟุตบอล... คิดว่าน้ำหนักเราน่าจะไม่ถึง

นี่มัน กระโดดขึ้นคานนี่ ..ไม่เอาดีกว่า

อืมมม วิ่งแข่ง น่าจะได้สุด เพราะไปเรียนสาย ต้องวิ่งเข้าห้องเรียนประจำ

กำลังจะไปสมัครอยู่แล้วเชียว ฝนก็ตกลงมาพอดี เราก็เลยต้องวิ่งกลับแทนค่ะ

เราวิ่งกลับมาทางสวนสาธารณะเดิม เพื่อมาขึ้นcity train เข้าไปเที่ยวชมในเมืองกันบ้าง
จากสถานี Ouchy เรานั่งเลยป้าย Lausanne-Gare(ซึ่งเป็นป้ายที่สามารถออกไปที่สถานีรถไฟระหว่างเมือง ที่เราฝากของไว้ได้) ไปอีก 2 ป้าย 
เพื่อไปลงที่สถานี Ripponne-M.Bejart ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า และแหล่งชอปปิ้งของโลซานค่ะ
Take the city train from Ouchy to Ripponne-M.Bejart
The old marketplace, and the shopping centre of Lausanne today.

เนื่องจากฝนเพิ่งหยุดตกไป ผู้คนจึงเพิ่งเริ่มออกมาจับจ่าย พบปะสังสรรค์
ลานนี้เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของย่านนี้ค่ะ มีถนนเป็นแฉกออกไปประมาณ 5 แฉก 
ก็เลือกชอปกันไปได้เลยค่ะ


ถนนในย่านนี้ จะเป็นทางลาดเอียงแบบนี้หมดเลยค่ะ เห็นแล้วอยากจะกลิ้งลงไป
แต่ตอนขึ้นนี้ต้อง หยุดพักหายใจเป็นช่วงๆ 555

เราอยู่ที่โลซานจนถึงประมาณ 4 โมงเย็น จึงกลับมาขึ้นรถไฟที่ Lausanne train station (national rail) 
เพื่อแวะไปเที่ยวเมือง Montreux
เนื่องจากต้องกลับมาขึ้นรถไฟที่โลซานอีกครั้ง
เราจึงยังฝากประเก๋าทั้งหมดไว้ที่ล็อกเกอร์ที่โลซานค่ะ
Take the national rail from Lausanne to Montreux (20 mins)
After arriving at Montreux Station, take the bus no.201 to Chillon Castle (15 mins)

โปรแกรมสุดท้ายในวันนี้ก็คือ..เราจะไปบุกปราสาทริมทะเลสาบ Chillon Castle ที่ม็องเทรอกัน!
หลังจากลงรถไฟที่ Montreux Station แล้ว เราเดินออกจากสถานี ข้ามถนน และทะลุผ่านซอยเล็กๆ เพื่อไปรอที่ป้ายรถบัสสาย 201 (โชว์สวิสพาส ขึ้นฟรีค่ะ) 
ใช้เวลานั่งประมาณ 15 นาทีก็มาถึงทางเข้าปราสาทค่ะ
the bus will stop in front of the castle
the wood bridge to Chillon Castle
ทางเข้าปราสาทด้านใหญ่ จะเป็นสะพานไม้ข้ามรางรถไฟ ซึ่งต้องเดินจากป้ายรถบัสมาประมาณ 45 ก้าวค่ะ
เริ่มเห็นตัวปราสาทโผล่พ้นหมู่พงไพร

ภาพถ่ายปราสาทจากมุมสูงที่เราลงทุนขอคุณฐปนีย์ขึ้นฮอไปถ่ายทำมา..
(ฮ.นกฮูกนะคะ)

ก่อนจะเข้าชมตัวปราสาท เราก็ขอไปสำรวจบริเวณโดยรอบก่อน


The ticket price (for inside part) is maximum at 12.50CHF
Free ticket for swiss pass holder!
สำหรับค่าเข้าชมในตัวปราสาท สามารถใช้ swiss pass เข้าฟรีค่ะ
Opening time 9am-7pm in summer
สำหรับช่วงที่ไปเป็นช่วงฤดูร้อน ตัวปราสาทก็จะเปิดไปจนถึงหนึ่งทุ่มเลยค่ะ 
ใช้เวลาเดินแบบเต็มที่จริงๆน่าจะประมาณ 3-4 ชั่วโมงนะคะ



ด้านล่างของปราสาทเป็นทะเลสาบ

I feel something in the room...
รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง

secret passage behind the bedroom's wall
มีทางลับอยู่หลังผนังห้องนอน
มาโผล่อีกห้องนึง สวยจัง


ลองเดินขึ้นไปดูชั้นสองบ้าง


นี่มันช่องหลืบอะไร

View from the wall's channel
ภาพที่ได้เห็นเมื่อมองผ่านช่องหลืบนั้นออกมา

แล้วเราก็เดินกลับเข้ามาในอีกส่วนหนึ่งของปราสาท
ไม่ต้องถามเลยว่าห้องอะไร ห้องน้ำชัวร์ กินใหญ่เลย;D

แล้วนี่ล่ะ ห้องอะไร คนเต็มเลย

ลองซูมมาดูใกล้ๆ
อืมม น่าจะเป็นห้องทดลองทางฟิสิกส์ เกี่ยวกับมวลวัตถุตกกระทบและคลื่นปฏิบัพค่ะ
(ห้องน้ำเด็กอนุบาลยังมีที่กั้นให้นะคะ แล้วนี่คือ...)

อีกด้านของปราสาท มีเทือกเขา Alps ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง

เราเจอบันไดทางขึ้นไปยังหอคอย
The stairs to the tower (6 floors to the top)

The army with the pink one..so cute!

แล้วเราก็เดินขึ้นบันไดมาอีก ทีละชั้นๆ จนขาเริ่มเกร็ง ก็มาถึงสุดทางที่ชั้นที่ 6
ปรากฎว่าชั้นบนสุดนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ว่างเปล่าไม่เห็นมีอะไรเลย

แต่ทว่า
ความงดงาม มันอยู่นอกห้องต่างหาก

So beautiful location with the Geneva Lake at the front, and the foot of Alps at the back.
This castle was first built almost 1,000 years ago by the Savoy families,
 and continually adapted for several centuries. 
ได้เห็นผืนฟ้า กับน้ำทะเล(สาบ) ที่ถูกเทือกเขามากั้นกลาง มันสวยเหมือนอยู่อีกโลกนึง 
(พูดเหมือนเคยไป)

ยิ่งมองไปรอบๆก็ยิ่งเห็นว่าปราสาทแห่งนี้ สร้างไว้ยิ่งใหญ่และซับซ้อนมาก
 ถ้ามาเล่นซ่อนหาที่นี่ ต้องเอาเต้นท์มานอนรอกว่าเพื่อนจะหาเจอแน่ๆ

ตามประวัติเค้าเล่าว่าปราสาทหลังนี้เริ่มสร้างตั้งแต่เกือบหนึ่งพันปีที่แล้วในสมัยของ Savoy Families
 ใช้เวลาสร้างและต่อเติมมาเรื่อยๆอีกหลายร้อยปี กว่าจะมาเป็นปราสาทอย่างที่เราเห็นกันนี้ค่ะ

 เค้าถึงได้บอกว่า บางทีความสวยงามที่มันเป็นของแท้แน่นอนจริงๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย 
มันก็ยังอยู่เหนือกาลเวลาตลอดไป.. คงจะจริงแฮะ
ยืนเก๊กไปมา คุณป้าซูวีเนียร์ก็มาไล่ เพราะปราสาทจะปิดตอนหนึ่งทุ่มแล้ว

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้า เทเลทิปปี้ก็เลยต้องโบกมือลา

เหลือไว้แต่เพียงภาพแผ่นหลังของปราสาทที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต และจะยังคงสวยงามอย่างนี้ตลอดไป

หลังจากนั้นเราก็ข้ามถนนไปรอรถบัสฝั่งตรงข้าม 
เพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟ Montreux Station เหมือนเดิม
[ถนนของสวิสจะตรงข้ามกับที่อังกฤษและไทยนะคะ เพราะฉะนั้น 
เวลาข้ามถนนช่วงแรกๆ ต้องตั้งสติดีๆ มองรถให้ถูกด้านนะคะ 
ไม่งั้นอาจจะได้ไปเที่ยวโรงพยาบาลด้วย แต่ยังไงก็ตาม 
เรามีประกันอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยวที่ใช้ตอนทำวีซ่าอยู่แล้วค่ะ 
เพราะฉะนั้น ใครสนใจก็ลองใช้บริการดูได้ แต่ถ้าโปรแกรมเที่ยวเต็มแล้ว 
ทิปแนะนำว่า ให้ตั้งใจข้ามถนนนะคะ] 
Catch the bus no.201 at the stop opposite the castle to Montreux Train Station.
You may need to take the train from Montreux to Lausanne first, and then, you can take the train from Lausanne to many big cities.
[try App-Rail Planner to manage your route] 

Lockers at Montreux Station มีไว้สำหรับคนติสท์
Take the train from Lausanne to Zurich for accommodation tonight.
เนื่องจาก Montreux เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก การจะนั่งรถไฟไปยังเมืองสำคัญต่างๆในสวิส
 จึงมักจะต้องนั่งรถไฟกลับไปลงที่ Lausanne ก่อนค่ะ แล้วจึงใช้ Lausanne train station เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นๆ เช่น Berne, Interlaken, Zurich
เมื่อมาถึง Lausanne station แล้ว เราก็ไม่ลืมที่จะไปเอาสัมภารกทั้งหมดที่ฝากไว้ก่อน และวิ่ง4คูณ100มาขึ้นรถไฟขบวน IC to Zurichให้ทัน
[ที่จริงมีรถไฟหลายรอบให้ขึ้นค่ะ 
แต่ IC เป็นรถไฟชนิดที่จะไม่จอดแวะกลางทางเลย ซึ่งจะทำให้เราเซฟเวลาไปได้เยอะค่ะ 
ทั้งนี้ สามารถเชครอบรถและเวลาผ่านทาง App- Rail Planner ได้ค่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ)]

ก็จบการเดินทางตามหาน้ำพุพญานาค-คัดตัวนักกีฬา-และตีปราสาทชิลลอน ของวันที่ 1 เพียงเท่านี้ 
พบกันที่ Ep.2 นะคะ สวัสดีค่ะ
[see you in Ep.2]



3 comments:

  1. ถ้ารู้ว่าสวยขนาดนี้ ซัมเมอร์ที่แล้วน่าเอาทุนไปที่สวิตซ์จริงๆ

    ReplyDelete
  2. รีวิวละเอียดจุง สนุกด้วย รูปสวยมากเลย

    ReplyDelete
  3. I came to this blog and it helped me to add few new points to my knowledge. Actually, I am trying to learn new thing wherever I find. Impressive written blog and valuable information shared here. Airport taxi zurich

    ReplyDelete

Total Pageviews