
Good morning the Second Day in Swiss!
วันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวเมือง Luzern และขึ้นยอดเขา Pilutus ค่ะ
Luzern เป็นเมืองที่อยู่ห่างลงไปทางทิศใต้ของ Zurich ประมาณ 45 นาทีโดยรถไฟค่ะ
มีเทือกเขาที่สำคัญอยู่ในบริเวณนี้คือ Pilatus, Tislis และ Rigi ค่ะ
ที่ทิปเลือกไป Pilatus เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัวค่ะ
Pilatus เป็นยอดเขาที่เราสามารถเลือกวิธีขึ้น-ลงได้หลายเส้นทางค่ะ ซึ่งน่าจะสนุกดี
แถมเคยอ่านดูมาบ้างแล้วว่าในวันที่ฟ้าเปิด เราจะสามารถ
เห็นยอดเขาอื่นๆรวมถึงเมืองลูเซินจากบนยอดเขาพิลาทุสได้ค่ะ
Catch the train from Zurich Train Station to Lucerne (45 mins)
เริ่มต้นการเดินทาง เราออกจากสถานีรถไฟซูริค (Zurich HB) ตอนเช้า
ขออภัยที่ไม่ทันได้ถ่ายรูปที่สถานีรถไฟ เนื่องจากทิปได้ไปทดลองวิ่ง4คูณ100มาค่ะ
เกือบตกรถไฟ
บนรถไฟก็จะมีพนักงานมาตรวจตั๋วอยู่เรื่อยๆ เราก็แค่เอาสวิสพาสเขวี้ยงใส่ไปเลย ของเค้าดีจริง
ตลอดสองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่าน เราก็จะได้ดื่มด่ำกับทุ่งหญ้าเขียวขจีและทะเลสาบค่ะ
(นึกว่าผ่านอยุธยา)
อันนี้คล้ายๆบ้านน้ำเคียงดินเลย
ที่นี่ต้องมาเลียนแบบสายสี่ของเราแน่เลย
แล้วเราก็มาถึงลูเซินนนน
In front of Lucerne train station
Take the bus no.1(toward Kriens) in front of the post office (on the right hand side of the station), and get off at Linde Pilatus stop(15 mins)
โปรแกรมแรกของวันนี้คือ เราจะนั่ง cable car ขึ้นไปบนยอดเขาพิลาทุสก่อนค่ะ
แล้วตอนบ่ายค่อยลงมาเดินเฉิดฉายในเมืองลูเซิน
สำหรับการไปพิลาทุส จากสถานีรถไฟลูเซิน เราต้องเดินข้ามถนนไปที่ท่ารถบัสที่อยู่ทางซ้ายมือ
ซึ่งเราจะเห็นรถบัสทุกสายจอดอยู่เต็มเลย
ให้เราเดินข้ามถนนอีกทีนึงไปฝั่ง Post Office จะมีป้ายรถบัสสาย 1 ไป Krines (ที่จริงหาไม่ยากค่ะ เพราะเค้าจะเพ้นท์รถบัสเป็นคำว่า Pilatus ตัวใหญ่เท่าหน้าต่าง 8 บาน)
นั่งไปสัก 15 นาที ก็ลงที่ป้าย Linde Pilatus ค่ะ อากาศเริ่มเย็นๆชื้นๆซะแล้ว
เมื่อลงจากบัสแล้ว ก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีโบสถ์ตั้งอยู่ (อยู่ทางซ้ายมือของรูปค่ะ ไม่ได้ถ่ายไว้)
ข้างขวาของโบสถ์นี้แหละค่ะ จะเป็นถนนซึ่งเราต้องเดินขึ้นไป เพื่อไปหาสถานี cable car ค่ะ
Cross the road to the church at the opposite side of the stop. Walk along the road beside the church around 10 mins to the cable car station.
ไม่รู้ว่าอะไรเอียง แต่ที่แน่ๆถนนมันเอียงนะคะ
เดินตามป้ายมังกรแดงขึ้นไปเล้ยย
ก็แค่ตึกแถวธรรมดาๆริมถนน
เดินขึ้นไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้าบ้าง บ้านคนบ้าง
เราก็จะเริ่มมองเห็นสถานีเคเบิ้ลคาร์อยู่ตรงทางแยกด้านซ้ายมือค่ะ
มาถึงก็จะเจอแถวต่อคิวซื้อตั๋วเลยค่ะ
แต่สงสัยเพราะตอนที่ไปยังเป็นช่วงก่อนเที่ยง เลยไม่ต้องรอนานค่ะ
สำหรับการซื้อตั๋วที่นี่ อย่างที่ทิปเกริ่นไว้ เราสามารถเลือกเส้นทางขากลับได้ (ขาขึ้นคงไม่ต้องเลือก เพราะมาอยู่ที่สถานีนี้แล้ว 555)
ทิปเลือกขึ้นกระเช้าจากสถานี Kriens (จุดที่เรายืนอยู่นี้) ไปถึง Pilatus Kulm ค่ะ
ส่วนขาลง ก็บอกเค้าไปว่าเราจะลงด้วยรถไฟ (ด้านซ้ายมือ) มาลงที่สถานี Alpnachstad
ซึ่งจะมาลงอีกด้านของเทือกเขา แล้วเราค่อยนั่งรถไฟปกติกลับเข้าเมืองลูเซินแทนแค่ 20 นาทีค่ะ
หรือแทนที่จะนั่งรถไฟกลับเข้าเมืองอาจจะไปขึ้นเรือล่องทะเลสาบกลับแทนก็ได้ แต่จะใช้เวลาประมาณ 90 นาทีค่ะ
There are 2 ways to go to the top and go down, by railway or cableway.
I chose going up by the cable car from Kriens to Pilatus Kulm station, and going back by the train to Alpnachstad station (which is located in the other side of the mount). Then, catch the normal rail back to downtown again (only 20 mins). Alternatively, you can choose the boat cruise back to Luzern instead of the normal rail.
Normal price to the top is 68CHF
50% off for swiss pass holder
สำหรับราคาค่าตั๋วไป-กลับนั้น ราคาปกติคือ 68CHF
แต่ถ้าโชว์สวิสพาสก็จะได้ลด50% เหลือ 34CHF ค่ะ
แล้วก็ติ๊ดๆบัตร เข้ามารอกระเช้าผลไม้ได้เลยค่ะ
เมื่อกระเช้าเริ่มทะยานออกสู่โลกกว้าง
บ้านน้อยในหุบเขา
วัวคู่กำลังนั่งมองมนุษย์เดินขึ้นเขา พร้อมกับแอบคิดในใจว่า กระเช้าก็มีนะเทอววว
(นี่มัน ความคิดของใครกันแน่เนี่ย ;p)
แล้วกระเช้าก็ผ่านมาถึงสถานีแรก คือ Ausgang ซึ่งเราสามารถลงได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่สถานีนี้จะมีไว้สำหรับคนที่อยากเดินขึ้นมา เหมือนที่วัวบอกอ่ะค่ะ เค้าก็จะเดินขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาขึ้นกระเช้าที่สถานีนี้เอา เก๋ๆชมวัว
ถ้าเราจะไม่เดิน เราก็แค่ยึดที่นั่งของเราไว้จนกว่าประตูกระเช้าจะปิดค่ะ
Just stay in the cable car. This station is for trekking.
Camping for kids!
พอผ่านสถานีมา ก็มีแค้มปิ้งสำหรับคุณหนูๆ ซึ่งก็คงเหมือนเราเดินทางไกลสมัยลูกเสือที่ต้องเดินขึ้นเขามามั้งคะ
ระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขาพิลาทุส ก็จะมีสถานีระหว่างทางให้ลงไปเที่ยวเล่นหลายสถานี้ค่ะ สถานีหนึ่งที่อยากแนะนำ คือ สถานี Frakmuntegg
ซึ่งจะมี activities มันส์ๆ ให้เล่นหลายอย่างค่ะ เช่น (toboggan run) เป็นรถล้อเลื่อนที่ไหลลงมาตามรางเหล็ก...สนุกมากกกกกก, fly gibbon
First pit stop at Frukmuntegg station for playing
I recommend for Toboggan run (I call it fast&furious wheel sledge). Sorry but they didn't allow me to bring a camera and all my stuffs to the car. You can see how fun it is from
http://www.pilatus.ch/en/pilatus-active/summer/fun-action/summer-toboggan-run/
The locker is free, but the ticket price is 8 CHF/person/round
Track for speedy sledge (super fun!)
อันนี้เป็นรางสำหรับรถที่ไว้ให้เราไหลลงมาค่ะ ความเร็วขอบอกว่าแรงมากก เตรียมตัวกรี๊ด แต่เค้ารับประกันว่าไม่หลุดออกจากรางแน่นอน แต่ถ้าหลุดก็แค่ลงมานอนกลิ้งเล่นบนภูเขาเอง อย่าไปคิดมากค่ะ
(ขออภัยที่ไม่สามารถถ่ายรูปความมันส์ในครั้งนี้ขึ้นมาได้ เพราะเค้าห้ามใช้กล้องค่ะ เราต้องเอาไปเก็บในล็อกเกอร์ที่เค้าเตรียมไว้ให้พร้อมกับกระเป๋าและหมวก ล๊อกเกอร์ฟรีค่ะ)
ส่วนค่าเล่น 8 CHF/person/round ค่ะ
The way to Toboggan ran
ทางไปเล่นเครื่องเล่นง่ายมากค่ะ ออกจากสถานีFrukmuntegg เลี้ยวขวา แล้วขวาอีกที ก็จะเจอทางเดินยาวๆแบบนี้ ก็เดินขึ้นไปจนสุดที่เห็นเป็นบ้านนั่นเลยค่ะ
เมื่อเดินขึ้นมาก็จะเจอกับถนนสายชอปปิ้งของเมืองค่ะ
แต่ทิปจิตใจเข้มแข็งมาก ไม่วอกแวกเลย (ที่จริงไม่มีตังค่ะ)
เราเดินขึ้นต่อไปบนถนน Mariahilfgasse เพื่อจะขึ้นไปยังกำแพงเมืองเก่าของลูเซิร์น
Walk pass the shopping centre to Mariahilfgasse street. You can go up this street till you see Musegg street, and there will be stairs and a walkway to the Musegg Wall.
เดินฝืนแรงโน้มถ่วงขึ้นไปเรื่อยๆจนเจอถนน Museggstrasse ก็จะเห็นทางเดินขึ้นสู่ป้อมกำแพงเมือง Musegg (Museggmauer) ค่ะ
ซึ่งจะมีทางเข้าจากป้อมต่างๆ 9 จุดรอบกำแพงเมือง (แต่เค้าจะเปิดให้เข้าได้แค่ 4 จุดค่ะ)
On a walkway of the wall.
เมื่อโผล่ขึ้นมาข้างบน ก็จะเป็นกำแพงเมืองอย่างนี้ค่ะ
แล้วมันมีดีอะไร?
อันนี้คล้ายๆบ้านน้ำเคียงดินเลย
ที่นี่ต้องมาเลียนแบบสายสี่ของเราแน่เลย
แล้วเราก็มาถึงลูเซินนนน
In front of Lucerne train station
Take the bus no.1(toward Kriens) in front of the post office (on the right hand side of the station), and get off at Linde Pilatus stop(15 mins)
โปรแกรมแรกของวันนี้คือ เราจะนั่ง cable car ขึ้นไปบนยอดเขาพิลาทุสก่อนค่ะ
แล้วตอนบ่ายค่อยลงมาเดินเฉิดฉายในเมืองลูเซิน
สำหรับการไปพิลาทุส จากสถานีรถไฟลูเซิน เราต้องเดินข้ามถนนไปที่ท่ารถบัสที่อยู่ทางซ้ายมือ
ซึ่งเราจะเห็นรถบัสทุกสายจอดอยู่เต็มเลย
ให้เราเดินข้ามถนนอีกทีนึงไปฝั่ง Post Office จะมีป้ายรถบัสสาย 1 ไป Krines (ที่จริงหาไม่ยากค่ะ เพราะเค้าจะเพ้นท์รถบัสเป็นคำว่า Pilatus ตัวใหญ่เท่าหน้าต่าง 8 บาน)
นั่งไปสัก 15 นาที ก็ลงที่ป้าย Linde Pilatus ค่ะ อากาศเริ่มเย็นๆชื้นๆซะแล้ว
เมื่อลงจากบัสแล้ว ก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีโบสถ์ตั้งอยู่ (อยู่ทางซ้ายมือของรูปค่ะ ไม่ได้ถ่ายไว้)
ข้างขวาของโบสถ์นี้แหละค่ะ จะเป็นถนนซึ่งเราต้องเดินขึ้นไป เพื่อไปหาสถานี cable car ค่ะ
Cross the road to the church at the opposite side of the stop. Walk along the road beside the church around 10 mins to the cable car station.
ไม่รู้ว่าอะไรเอียง แต่ที่แน่ๆถนนมันเอียงนะคะ
เดินตามป้ายมังกรแดงขึ้นไปเล้ยย
ก็แค่ตึกแถวธรรมดาๆริมถนน
เดินขึ้นไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้าบ้าง บ้านคนบ้าง
เราก็จะเริ่มมองเห็นสถานีเคเบิ้ลคาร์อยู่ตรงทางแยกด้านซ้ายมือค่ะ
มาถึงก็จะเจอแถวต่อคิวซื้อตั๋วเลยค่ะ
แต่สงสัยเพราะตอนที่ไปยังเป็นช่วงก่อนเที่ยง เลยไม่ต้องรอนานค่ะ
สำหรับการซื้อตั๋วที่นี่ อย่างที่ทิปเกริ่นไว้ เราสามารถเลือกเส้นทางขากลับได้ (ขาขึ้นคงไม่ต้องเลือก เพราะมาอยู่ที่สถานีนี้แล้ว 555)
ทิปเลือกขึ้นกระเช้าจากสถานี Kriens (จุดที่เรายืนอยู่นี้) ไปถึง Pilatus Kulm ค่ะ
ส่วนขาลง ก็บอกเค้าไปว่าเราจะลงด้วยรถไฟ (ด้านซ้ายมือ) มาลงที่สถานี Alpnachstad
ซึ่งจะมาลงอีกด้านของเทือกเขา แล้วเราค่อยนั่งรถไฟปกติกลับเข้าเมืองลูเซินแทนแค่ 20 นาทีค่ะ
หรือแทนที่จะนั่งรถไฟกลับเข้าเมืองอาจจะไปขึ้นเรือล่องทะเลสาบกลับแทนก็ได้ แต่จะใช้เวลาประมาณ 90 นาทีค่ะ
There are 2 ways to go to the top and go down, by railway or cableway.
I chose going up by the cable car from Kriens to Pilatus Kulm station, and going back by the train to Alpnachstad station (which is located in the other side of the mount). Then, catch the normal rail back to downtown again (only 20 mins). Alternatively, you can choose the boat cruise back to Luzern instead of the normal rail.
Normal price to the top is 68CHF
50% off for swiss pass holder
สำหรับราคาค่าตั๋วไป-กลับนั้น ราคาปกติคือ 68CHF
แต่ถ้าโชว์สวิสพาสก็จะได้ลด50% เหลือ 34CHF ค่ะ
แล้วก็ติ๊ดๆบัตร เข้ามารอกระเช้าผลไม้ได้เลยค่ะ
เมื่อกระเช้าเริ่มทะยานออกสู่โลกกว้าง
บ้านน้อยในหุบเขา
วัวคู่กำลังนั่งมองมนุษย์เดินขึ้นเขา พร้อมกับแอบคิดในใจว่า กระเช้าก็มีนะเทอววว
(นี่มัน ความคิดของใครกันแน่เนี่ย ;p)
แล้วกระเช้าก็ผ่านมาถึงสถานีแรก คือ Ausgang ซึ่งเราสามารถลงได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่สถานีนี้จะมีไว้สำหรับคนที่อยากเดินขึ้นมา เหมือนที่วัวบอกอ่ะค่ะ เค้าก็จะเดินขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาขึ้นกระเช้าที่สถานีนี้เอา เก๋ๆชมวัว
ถ้าเราจะไม่เดิน เราก็แค่ยึดที่นั่งของเราไว้จนกว่าประตูกระเช้าจะปิดค่ะ
Just stay in the cable car. This station is for trekking.
Camping for kids!
พอผ่านสถานีมา ก็มีแค้มปิ้งสำหรับคุณหนูๆ ซึ่งก็คงเหมือนเราเดินทางไกลสมัยลูกเสือที่ต้องเดินขึ้นเขามามั้งคะ
ระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขาพิลาทุส ก็จะมีสถานีระหว่างทางให้ลงไปเที่ยวเล่นหลายสถานี้ค่ะ สถานีหนึ่งที่อยากแนะนำ คือ สถานี Frakmuntegg
ซึ่งจะมี activities มันส์ๆ ให้เล่นหลายอย่างค่ะ เช่น (toboggan run) เป็นรถล้อเลื่อนที่ไหลลงมาตามรางเหล็ก...สนุกมากกกกกก, fly gibbon
First pit stop at Frukmuntegg station for playing
I recommend for Toboggan run (I call it fast&furious wheel sledge). Sorry but they didn't allow me to bring a camera and all my stuffs to the car. You can see how fun it is from
http://www.pilatus.ch/en/pilatus-active/summer/fun-action/summer-toboggan-run/
The locker is free, but the ticket price is 8 CHF/person/round
Track for speedy sledge (super fun!)
อันนี้เป็นรางสำหรับรถที่ไว้ให้เราไหลลงมาค่ะ ความเร็วขอบอกว่าแรงมากก เตรียมตัวกรี๊ด แต่เค้ารับประกันว่าไม่หลุดออกจากรางแน่นอน แต่ถ้าหลุดก็แค่ลงมานอนกลิ้งเล่นบนภูเขาเอง อย่าไปคิดมากค่ะ
(ขออภัยที่ไม่สามารถถ่ายรูปความมันส์ในครั้งนี้ขึ้นมาได้ เพราะเค้าห้ามใช้กล้องค่ะ เราต้องเอาไปเก็บในล็อกเกอร์ที่เค้าเตรียมไว้ให้พร้อมกับกระเป๋าและหมวก ล๊อกเกอร์ฟรีค่ะ)
ส่วนค่าเล่น 8 CHF/person/round ค่ะ
The way to Toboggan ran
ทางไปเล่นเครื่องเล่นง่ายมากค่ะ ออกจากสถานีFrukmuntegg เลี้ยวขวา แล้วขวาอีกที ก็จะเจอทางเดินยาวๆแบบนี้ ก็เดินขึ้นไปจนสุดที่เห็นเป็นบ้านนั่นเลยค่ะ
Seats at the play station
ใครไม่ถนัดความเร็ว ก็มีเก้าอี้ชายเขาให้นั่งรอชิลๆไปนะฮาฟฟ
อันนี้โหดกว่าที่ไทย ไม่มีคนช่วยค่ะ ต้องล็อคเชือกเอง ทิปเลยขอบายดีกว่าค่ะ
กลัวจะกลายเป็นลิงเฝ้าต้นสน
เราใช้เวลาเล่นอยู่ที่สถานีนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็กลับไปที่สถานีเดิม ซึ่งจะมีกระเช้าอึกอันซึ่งจะใหญ่กว่าตอนที่เราขึ้นมาจากkriens ชื่อว่า Aerial cablecar ค่ะ
แต่ต้องบอกก่อนกว่าหลังจากทิปไปแค่ไม่ถึงเดือน เค้าก็ได้ยกเลิกกระเช้าตัวนี้แล้วเพื่อจะเปลี่ยนโฉมใหม่ให้ไฉไลกว่า
โดยกระเช้าใหม่นี้จะเปิดให้บริการอีกทีในช่วง spring 2015
ซึ่งจะมีผลให้เส้นทาเคเบิ้ลคาร์ระหว่าง Frukmuntegg-Pilatus kulm ถูกยกเลิกชั่วคราว เพราะฉะนั้น ใครที่จะไปในช่วงนี้ก็อาจจะต้องขึ้นยอดเขาด้วยรถไฟนะคะ
ส่วนหน้าตาของเจ้ากระเช้าใหม่เนี่ย ที่จริงทิปว่าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมากขนาดนั้น ก็แค่ประมาณรถไฟสปินเตอร์บ้านเรากับชินคันเซนของญี่ปุ่นเท่านั้นเองค่ะ
Going back to the Frukmuntegg station to get the bigger cable car to Pilatus Kulm.
Unfortunately, there will be a construction work for new modern cablecar from Frukmuntegg station to Pilatus Kulm station, and the route will be opened again in spring 2015.
So from Sep 2014 to spring 2015, the cableway from Frukmuntegg to Pilatus Kulm is not available. You may need to go up by the railway instead.
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนสถานี Pilatus Kulm ซึ่งเป็นสถานีบนสุดของพิลาทุส
เราก็เดินออกมาด้านนอกสถานีซึ่งเป็นจุดชมวิว
อากาศวันนี้ค่อนข้างน่าผิดหวังเล็กน้อย เพราะมีหมอกลงค่อนข้างเยอะ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองระยะไกลไม่ดีนักค่ะ ทิปก็เลยเห็นแต่ยอดเขาใกล้ๆ
[ที่จริงโดยส่วนมากทุกสถานีภาคพื้นดินของแต่ละยอดเขาเค้าจะมี video camera
ซึ่งจะถ่ายทอดภาพสดจากบนยอดเขาขณะนั้นให้เราดูอยู่แล้วค่ะ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าเราควรจะเสียเงินขึ้นมาชมวิวในเวลานี้ดีมั้ย แต่ทิปก็หวังไว้ตอนนั้นว่าเดี๋ยวเทพเจ้าคงช่วยเป่าให้หมอกพัดผ่านไปเร็วๆ แต่สงสัยจะไม่ได้ผลค่ะ แหะๆ]
เทพเจ้าช่วยเป่าให้แค่นี้
It was not quite good weather when I was on the top. Actually, most stations have live cameras, so you can check the weather at the ground station first (before buying a ticket).
แล้วเราก็ใช้บันไดด้านในสถานีเพื่อเดินขึ้นมาชั้นบนซึ่งมี restaurant แนว self service อยู่ค่ะ
อาหารถือว่าใช้ได้ อร่อยดี มีทั้งเสต็ก ซุป ข้าว ราคาก็ไม่ถือว่าแพงค่ะ ประมาณ 7-15 CHF
รวมถึง tea และ coffee ก็มีให้บริการด้วยค่ะ นั่งกินและชมวิวภูเขาสวยดี มีทั้งระเบียงด้านนอกที่สามารถนั่งกินอาหารทั้งจากร้านค้าหรือจะแพ็คข้าวกล่องขึ้นมาเองก็ได้ตามสบายค่ะ และแบบ indoor ซึ่งก็เป็นผนังกระจกใสสามารถชมวิวได้เหมือนกันค่ะ
(แต่วันนี้วิวอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ค่ะ)
There is a self service restaurant on the upper floor serving many kinds of foods such as steaks, salads, soup, sausages, pasta and rice (also coffee ans tea).
You can also picnic at the terrace outside.
กินเสร็จแล้ว ก็เดินออกมาที่ลานด้านนอกเพื่อชื่นชมกับหมอกที่ปกคลุมไปทั่วยอดเขา
ช่างน่าเศร้าเสียยิ่งนัก
ทางด้านซ้ายมือชั้นล่าง ก็จะมองเห็นสถานีรถไฟที่เราจะใช้ลงเขาค่ะ
After spending time walking around the view points on the restaurant floor and lower floor, I took the rail back at the other side of the station.
You can check the timetable of the train in front of the entrance (every 30-45 mins),
and use the ticket you bought from the first station (or you can also buy a ticket at the counter)
เดินเล่นบริเวณลานด้านนอกทั้งชั้นrestaurant และชั้นที่เป็นตัวสถานีอยู่อีกซักชั่วโมงนึง แล้วก็เข้าไปนั่งหลับในลานด้านในอีกครึ่งชั่วโมงเพราะกินอิ่มเกินไปและโซฟานั่งสบายมาก (นี่อาจถือเป็นการนอนหลับที่สูงที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ค่ะ) แล้วก็เลยตัดสินใจกลับดีกว่า
เดินมาเชครอบรถไฟที่จะลงเขาซึ่งจะมีประมาณทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ เราก็แค่รออยู่ที่ประตูติ๊ดๆ และก็ใช้บัตรที่เราซื้อมาตั้งแต่สถานีต้นทางเคเบิ้ลคาร์เป็นบัตรผ่านขึ้นรถไฟเหมือนกัน
หรือถ้าใครยังไม่ได้ซื้อตั้งแต่ตอนแรก ก็มาซื้อหน้างานได้ที่แถวทางเข้าเหมือนกันค่ะ
รถรางของพิลาทุสนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถไฟที่ชันที่สุดในโลกค่ะ ก็ดูสิคะ จะไม่ชันได้ยังไง เอียงซะขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่ที่นั่งเราไม่ได้เอียงตามรถไฟ 555
เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว ทัศนียภาพสองข้างทางก็เริ่มชัดเจนขึ้น!
Oh my! มีรถไฟสวนขึ้นมา ได้ข่าวว่ามีรางเดียว!
แต่ที่จริงแล้วจุดนี้เป็นจุดที่รถไฟจะต้องสวนกันค่ะ คุณลุงที่ขับรถไฟจะต้องใส่เบรคมือแล้วก็ออกไปกดปุ่มที่ตู้เพื่อสับรางรถไฟ แล้วก็รอให้รถไฟฝั่งหนึ่งสวนไปให้หมดก่อน แล้วคุณลุงคนขับรถไฟทั้งหลายก็จะอาศัยจังหวะนี้ลงไปพูดคุยสัพเพเหระกันประหนึ่งว่าไม่มีผู้โดยสารอยู่บนรถพร้อมกับเบรคมือของคุณลุง ตอนนั้นทิปก็เตรียมมองหาเบรคมือไว้เลย เพราะสถานการณ์อาจสร้างวีรบุรุษได้ค่ะ
(ถึงจะแอบเม้าคุณลุงไปนิดหน่อย แต่ที่จริงคุณลุงคนขับเค้าน่ารักนะคะ คอยหันมาตรวจดูความปลอดภัยของผู้โดยสารตลอดทาง แถมถ่ายรูปติดคุณลุงยิ้มด้วย)
ยังคงลงต่อไป
ใกล้ถึงสถานีแล้ว เราก็เริ่มมองเห็นทะเลสาปด้านล่าง
Arrived!
ลงมาถึงสถานีแล้ว เย้
The former is fake. This one is real!
In front of the station to Pilatus Kulm (via railway)
And the Alpnachstad train station (to downtown) is in front of you.
เมื่อลงจากรถรางมาแล้ว ด้านหน้าสถานีรถรางก็จะเป็นสถานีรถไฟ Alpnachstad เลยค่ะ
เราก็สามารถขึ้นรถไฟจากสถานีนี้ไปที่อื่นได้ค่ะ
และตามที่เรานัดกันไว้ตอนแรกว่าเราจะกลับไปเดินเฉิดฉายในเมืองลูเซินกันหลังเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตพิลาทุส ทิปก็จับรถไฟที่สถานีนี้กลับเข้าเมือง ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ (เอาสวิสพาสเขวี้ยงใส่เหมือนเดิมด้วยค่ะ)
I took the train back to downtown (Lucerne) from Alpnachstad station (approx 20 mins).
After arriving at Lucerne Train Station, you can see the lake in front of the station. The world's oldest wooden bridge, the Chapel Bridge, is on the left side.
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟลูเซิร์นแล้ว เราก็เดินออกมาหน้าสถานีรถไฟ
ซึ่งเป็นทางเดียวกับป้ายรถบัสไปพิลาทุส
เมื่อมองไปทางด้านซ้ายมือของสถานีรถไฟ ตรงข้ามกับ post office เราก็จะเห็นสี่แยกที่มีสะพานข้ามทะเลสาบอยู่ตรงหน้า
ทางด้านซ้ายมือของสะพานรถวิ่งนี้เอง เราก็จะได้พบกับสะพานไม้โบราณชาเปล (Chapel Bridge) ซึ่งเป็นแลนมาร์กของเมืองลูเซิร์นแห่งนี้ค่ะ
เราไม่เดินข้ามสะพานที่เป็นทางรถวิ่ง
แต่เราเดินข้ามถนนหน้า post office เพื่อไปขึ้นสะพานไม้แทนค่ะ
สะพานชาเปลนี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งถูกสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และได้ถูกไฟไหม้ครั้งหนึ่งเมื่อปี 1993 แต่ก็ได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่เป็นสภาพอย่างที่เห็นทุกวันนี้ค่ะ
ส่วนหอคอยทรงแปดเหลี่ยมที่สร้างเชื่อมต่อกับสะพานนั้นมีชื่อว่า Water Tower
ในอดีตใช้เป็นที่คุมขังและทรมานนักโทษ รวมถึงใช้เก็บเอกสารและสิ่งของสำคัญด้วยค่ะ
The Chapel Bridge, which is one of the landmarks of Lucerne, was first built in 14th century. It was rebuilt again after the fire in 1993.
The bridge is connected with the octagonal Water Tower, which was used as an prison and archive.
หลังจากสะพานถูกหนูแทะ เอ้ย ไฟไหม้ไปแล้ว ก็ยังคงหลงเหลือภาพวาดซึ่งแสดงประวัติความเป็นมาของลูเซิร์นอยู่บ้างตามหน้าจั่วบนหลังคาค่ะ
There are paintings added on the roof of the bridge, illustrating the local history of the city.
จากสะพาน มองมาอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นตัวเมืองและร้านรวงอยู่ริมทะเลสาบ
แอบมองเห็นมหาวิหารหัวหอมอยู่ด้านหลัง
Restaurants and cafes along the street.
แล้วเราก็เดินลงสะพานมายังอีกฝั่งซึ่งเป็นถนนคนเดิน มีร้านอาหารและคาเฟ่ บรรยากาศสุดโรแมนติกริมทะเลสาบเรียงรายไปตามทางเดิน
เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติก ทิปเลยเลือกนั่งกินไอศกรีมมะม่วงซักหน่อยดีกว่า
ท่าทางดูโรแมนติกมาก
เดินมาเรื่อยๆจนถึงแยกที่มีสะพานอันถัดมา ที่มีมหาวิหารทรงหัวหอม หรือชื่อจริงว่า Jesuit Church ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งค่ะ แต่คราวนี้เราจะเดินขึ้นบันไดไปทางขวาซึ่งมีอาคารที่เพ้นท์สีเป็นต้นไม้
Walked along the street, and turned right at this painted building, you will see a shopping centre.
But my plan is to go to the rooftop of Lucerne, the Museggmauer.
ชั้นล่างของอาคารเป็นร้านอาหารแต่ทิปจิตใจเข้มแข็งมาก ไม่วอกแวกเลย (ที่จริงไม่มีตังค่ะ)
เราเดินขึ้นต่อไปบนถนน Mariahilfgasse เพื่อจะขึ้นไปยังกำแพงเมืองเก่าของลูเซิร์น
Walk pass the shopping centre to Mariahilfgasse street. You can go up this street till you see Musegg street, and there will be stairs and a walkway to the Musegg Wall.
เดินฝืนแรงโน้มถ่วงขึ้นไปเรื่อยๆจนเจอถนน Museggstrasse ก็จะเห็นทางเดินขึ้นสู่ป้อมกำแพงเมือง Musegg (Museggmauer) ค่ะ
ซึ่งจะมีทางเข้าจากป้อมต่างๆ 9 จุดรอบกำแพงเมือง (แต่เค้าจะเปิดให้เข้าได้แค่ 4 จุดค่ะ)
You can enter to the wall from 4 towers; I used the Schirmerturm, where you need to climb these stairs.
ทิปเข้าผ่านจากทางป้อม Schirmerturm เดินขึ้นบันไดแบบนี้อีกแล้วOn a walkway of the wall.
เมื่อโผล่ขึ้นมาข้างบน ก็จะเป็นกำแพงเมืองอย่างนี้ค่ะ
แล้วมันมีดีอะไร?
A bird's-eye view over Lucerne and the lake and mountains.
ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เห็นเมืองทั้งเมืองและก็ทะเลสาบกับภูเขาเอง
ใครเห็น Water Tower บ้าง?? หาเจอมีรางวัล
เดินไปตามกำแพงเมือง ชมทัศนียภาพของเมืองลูเซิร์นที่แสนโรแมนติก ผ่านหอนาฬิกา แล้วก็ลงที่ป้อม Luegislandturm ซึ่งจะออกมาที่ด้านหลังของกำแพงซึ่งจะมีสนามกีฬาอยู่ค่ะ
เมื่อหันหน้าไปทางด้านสนามกีฬา เราเดินไปทางขวามือเพื่อย้อนกลับมาทางเดิน แล้วออกจากตัวกำแพงเมืองตรงจุดเดิมที่เราเข้ามาค่ะ
หลังจากนั้น ก็กะว่าจะไปชมอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่สำคัญของคนไทยที่ไม่ไปเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงลูเซิร์น นั่นก็คือ Löwendenkmal หรือ The Lion Monument ค่ะ
เมื่อออกจากกำแพงเมืองแล้วก็เดินตามถนน Museggstrasse เพื่อเข้าไปสู่ตัวเมือง
เดินไปเรื่อยๆจนเจอกับถนนสายหลักค่ะ (Zurichstrasse)
ให้เดินขึ้นต่อไปตามถนนสายหลักซึ่งเราจะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายไทย จีน ฝรั่ง (ซึ่งก็คงจะเดินไปดูสิงโตเหมือนเราค่ะ)
เดินไปจนเห็นตึก SUVA ที่ตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม แล้วเราก็ข้ามถนนไปฝั่งของตึก SUVA แล้วเดินตรงเข้าไปในถนนเล็กๆด้านขวามือซึ่งจะพาเราไปสู่ The Lion Monument ค่ะ
From the Musegg Wall, go down the Musegg street to the downtown to visit the Lion Monument.
A cafe in front of Lion Monument
The dying lion of Lucerne
The Lion Monument เป็นสิงโตแกะสลักบนหินซึ่งถ่ายทอดภาพของสิงโตที่นอนตายอยู่โดยมีหอกปักอยู่ที่หลัง
อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงทหารสวิสจำนวนเจ็ดร้อยกว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และเสียชีวิตจากการรบในการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1792
ทิปก็มาร่วมระลึกถึง แต่ที่จริงจำได้แค่คำว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส ตอนสมัยเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกค่ะ แหะๆ
หลังจากยืนพินิจหน้าตาอันแสนเศร้าและเจ็บปวดของสิงโตอยู่สักพัก เราก็เดินออกมา โดยมีเป้าหมายถัดไปคือเดินเล่นริมทะเลสาบค่ะ
Walking around the lake
เดินย้อนลงมาตามถนนหลัก เพื่อกลับมาที่ทะเลสาบค่ะ
Luckily, there was a street market near the lake.
เมื่อมาถึงทางเดินเลียบทะเลสาบ อะไรจะเป๊ะขนาดนี้ เค้ามี street market ค่ะ
มีร้านค้าขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์OTOP เรียงรายยาวตลอดสองข้างทาง (นึกว่ามางานของดีสี่ภาคอิมแพคอารีน่าเมืองทองธานี)
ที่อยู่ในมือนั่นน้ำเก๊กฮวยนะคะ
กล้วยดิ๊บ ไม่ใช่กล้วยดิบ
ชีวิตในช่วงเวลาเย็นของคนที่นี่ เค้าก็จะซื้ออาหารง่ายๆมานั่งกินริมน้ำ ดูพระอาทิตย์ตกดินกับฝูงหงส์ค่ะ..ชีวิตที่ไม่ต้องคอยมองหาร้านบุฟเฟ่ต์ในตำนาน หรือถ่ายรูปคู่กับอาหาร
เมื่อกินอิ่มก็เดินเลียบริมทะเลสาบเพื่อจะกลับมาข้ามสะพานไปสถานีรถไฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
มองเห็นโบสถ์ Hofkirche หรือ Hof Church ที่เป็นยอดแหลมสองอันอยู่ไกลๆ
Walk back to the Lucerne Train Station
เห็นอาคาร Post office และ Lucerne Train Station อยู่ด้านตรงข้ามของสะพานแล้ว
Pilatus stands behind the city.
จากบนสะพานก็มองเห็นพิลาทุสตั้งตระหง่านเป็นแบคกราวด์
ด้านขวามือของสะพานก็เป็นสะพานไม้ชาเปล
ก็ว่าจะนั่งรถไฟกลับซูริคอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินเสียงดนตรีจากคอนเสิร์ตที่มาจากฮอลล์ข้างๆสถานีรถไฟ
ก็มันบังเอิญอีกแล้วค่ะ ที่ KKL Lucerne หรือ concert hall เค้าดันมีคอนเสิร์ตวันนี้พอดี ก็เลยต้องเลื่อนเวลากลับซูริคเพื่อสังเกตุการณ์สักหน่อย
หลังจากอยู่ชมบรรยากาศสักพัก ทิปก็นั่งรถไฟกลับซูริคเร็วหน่อย เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการบุก Interlaken ในวันพรุ่งนี้ค่ะ
After that, I caught the train back to Zurich. Preparing myself for Schilthorn and Jungfrao tomorrow. See you in Ep.3
การเดินเล่นสวยๆในลูเซิร์นก็จบลงเพียงเท่านี้นะคะ หลังจากนี้สิ จะไม่มีคำว่าสวยอีกต่อไป (หมายถึงคนนะคะ) ส่วนความสวยงามของสวิสเซอร์แลนด์ในวันที่เหลือต่อๆไป รับรองว่าจะสวยจนทำให้ทุกคนต้องลืมหายใจ (เอาถังออกซิเย่นมาด้วยนะคะ)
No comments:
Post a Comment