สวัสดีทุกท่านอีกครั้งนะคะ เข้าสู่วันที่ 5 ของการเดินทางแล้ว วันนี้เราต้องโบกมือลา Interlaken เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือ Zermatt
Zermatt เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาแอลป์ ทางตอนใต้ของสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของเมือง Visp ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Valais Canton โดยจุดเด่นที่สำคัญของ Zermatt ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชื่นชมความงามของยอดเขา Matterhorn หนึ่งในยอดเขาที่ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของสวิสเซอร์แลนด์เลยก็ว่าได้ค่ะ พร้อมแล้วจะรออะไร ไปกันเลยดีกว่า
Hi! Today I will leave Interlaken and continue to Zermatt.
After checking out the hotel in the early morning, I took a first train from Interlaken West Station to Spiez.
After arriving at Spiez (about 20 mins), we need to change a second train to Visp, then change the last one at Visp Station to Zermatt. (It takes all the trip around 2 hours)
All the trip is included for Swiss Pass holder.
สำหรับการเดินทางจาก Interlaken ไปยัง Zermatt นั้น เริ่มต้นด้วยการขึ้นรถไฟจากสถานี Interlaken West ไปลงที่สถานี Spiez ก่อนซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที
จากนั้นเราจะต้องต่อรถไฟอีกขบวนจาก Spiez ไปยังสถานี Visp (ใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง)
Visp เป็นเหมือนสถานีชุมสายที่เราสามารถต่อรถไฟไปยังเมืองต่างๆได้
จากสถานี Visp นี้ เราจะต่อรถไฟขบวนสุดท้าย คือ รถไฟสาย Matterhorn Gotthard Bahn ไปยัง Zermatt ค่ะ
โดยการเดินทางทั้งหมดนั้น เราสามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นฟรีได้ค่ะ
The Matterhorn Gotthard Bahn line from Visp to Zermatt
รถไฟสายนี้มีความพิเศษตรงที่ หน้าต่างจะมีขนาดกว้างเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้โดยสารอิ่มเอมไปกับทัศนียภาพสองข้างทางขณะที่รถไฟขบวนนี้ลัดเลาะไปตามแนวเขาตลอดเส้นทางค่ะ
วันนี้อากาศขุ่นมัวเล็กน้อย มีฝนตกปรอยๆระหว่างการเดินทาง
Views from a big-screen train window.
มีใครสนใจจะพักที่นี่มั้ยคะ
Who want to stay here?
Who want to stay here?
ใช้เวลาเดินทางต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง รถไฟก็มาจอดยังสถานีปลายทาง Zermatt
Arrived at Zermatt! They WELCOME me in Thai language.
หากใครต้องเดินทางไปเที่ยวต่อเลย ก็สามารถเก็บสัมภาระไว้ที่ล็อกเกอร์ชั้นล่างของสถานีก่อนได้ค่ะ
The locker room is at the lower floor.
ภาพด้านหน้าของสถานีรถไฟ ตอนเรามาถึงฝนเพิ่งหยุดตก อากาศเย็นสบาย
เนื่องจากถนนหลักเส้นนี้เป็นถนนที่ตรงยาวผ่านกลางเมืองไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆ และที่พัก ไปจนสุดทางขึ้นกระเช้าไปชมยอดเขา Matterhorn ซึ่งระยะทางอยู่ที่ประมาณ 1 กิโลเมตร
ซึ่งถ้าใครขี้เกียจเดิน ก็สามารถใช้บริการแท็กซี่ที่จอดรออยู่ด้านหน้าสถานีได้ค่ะ
Outside the train station is Bahnhofstrasse Street, which leads to the village. As the distance from the train station, passing the village, to the cable car station to Matterhorn Glacier Paradise is about 1 km, they also have a taxi service for if you don't want to walk.
สำหรับ Information centre จะอยู่ทางด้านซ้ายของสถานีรถไฟ ตามภาพค่ะ
I first checked the weather at the Tourist Centre, located next to the train station.
Unfortunately, the weather today was not good for going up to see Matterhorn. I, thus, switched my plan to sightsee the village today and take the cable car tomorrow instead.
นอกจากการขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn โดยการนั่งกระเช้าแล้ว
อีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถขึ้นไปชมวิวยอดเขาได้เช่นกัน คือ การนั่งรถไฟขึ้นไปยังยอดเขา Gornergrat แต่จะเป็นคนละจุดกับการขึ้นไปโดยกระเช้า และจะเห็นยอดเขา Matterhorn จากคนละยอดเขาและจากระยะที่ไกลกว่า
โดยถ้าใครเลือกนั่งรถไฟขึ้นยอดเขา Gornergrat นั้น ก็สามารถขึ้นรถไฟสาย Gornergrat Bahn ได้เลยจากฝั่งตรงข้ามของสถานีรถไฟหลักค่ะ
โดยเราจะต้องจ่ายค่าตั๋วรถไฟขึ้นไปยังยอดเขาต่างหาก ไม่สามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นฟรีได้
แต่สามารถใช้เป็นส่วนลด 50%ได้ค่ะ
โดยราคาตั๋วจะขึ้นอยู่กับความสูงของสถานีที่เราจะลงรถไฟค่ะ โดยสถานีปลายทางคือ ยอดเขา Gornergrat ซึ่งค่าตั๋วไป-กลับจะอยู่ที่ 90CHF ค่ะ
https://www.gornergratbahn.ch/en/winter/railway-information/prices/
Apart from visiting Matterhorn by the cableway, there is also an alternative way to see the mountain by the train.
For the railway, you need to take a Gornergrat Bahn line at the GBB Railway Station opposite the main train station.
No free ticket for Swiss Pass Holder. But we can show the card for 50% discount.
The ticket fee depends on the height of the station you get off.
The last and highest station is Gornergrat which is for 90CHF (normal price)
https://www.gornergratbahn.ch/en/winter/railway-information/prices/
These 2 routes lead to different view points for seeing Matterhorn.
As illustrated by the map below,
The blue triangle and circle show the ground train station and the final station (Gornergrat)
The red triangle and circle show the cable car station and the top station (Matterhorn Glacier Paradise), which is higher than.
I planned to go up by the cable car which I can see Matterhorn closer. So I didn't take the Gornergrat train.
แผนที่คร่าวๆแสดงเส้นทางขึ้นสู่จุดชมวิวยอดเขา Matterhorn
โดยสามเหลี่ยมและวงกลมสีฟ้า คือ จุดขึ้นรถไฟ Gornergrat Bahn และยอดเขา Gornergrat ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
ส่วนสามเหลี่ยมและวงกลมสีแดง คือ จุดขึ้นกระเช้า และจุดชมวิว Matterhorn Glacier Paradise ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
เราวางแผนที่จะขึ้นไปบน Matterhorn Glacier Paradise โดยใช้เคเบิ้ลคาร์ จึงไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขา Gornergrat ค่ะ และบวกกับอากาศวันนี้ท้องฟ้าไม่เปิดเท่าไหร่ ไปคุยกับ Info. centre แล้ว เค้าแนะนำว่าพรุ่งนี้อากาศจะดีกว่านี้ เราเลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปชม Matterhorn ในวันพรุ่งนี้แทน
โดยวันนี้เราจะหาที่พักและเที่ยวเล่นในเมืองก่อนค่ะ
ออกมาหน้าสถานีก็เจอฝูงแพะพอดี ที่นี่เค้ายังอนุรักษ์อาชีพพื้นเมืองไว้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
แพะอยู่ข้างหลังนะคะ
จากสถานีรถไฟ เดินลงมาทางทิศใต้ตามถนน Bahnhofstrasse ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง
ผ่านร้านค้าและโรงแรมที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง
From the train station, I walked along Bahnhofstrasse into the village, looked for a hotel because I hadn't booked in advance.
แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย เลยแวะเข้าไปในร้านเบเกอรี่ก่อนค่ะ
Stopped at the bakery shop first, as I forgot to have breakfast.
หลังจากเดินไปกินไป เราก็เข้าชมโรงแรมนู้น ออกโรงแรมนี้ ผ่าน Matterhorn Museum จนมาถึงทางสามแยก ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงแรมในอนาคตอันใกล้ของเรา เมื่อตกลงราคากันเรียบร้อย เราก็เลยตัดสินใจเข้าพักที่นี่ Hotel Weisshorn

เป็นห้องสำหรับ 5 คนพอดี มีห้องนั่งเล่นและทีวีพร้อม ถามว่าได้ใช้มั้ย ตอบเลยว่าไม่ได้ใช้ค่ะ
หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ภารกิจเดินสำรวจเมืองก็เริ่มต้นค่ะ
A mission to explore the village was started then!

โดยก่อนปี ค.ศ.1865 นั้นมีผู้ที่พยายามที่จะพิชิตยอดเขาหลายครั้ง ซึ่งเป็นการปีนขึ้นจากด้านอิตาลี แต่ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จค่ะ
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1865 ได้มีชายชาวอังกฤษนามว่า Edward Whymper ได้รวบรวมคณะอีก 6 คน เพื่อพิชิตยอดเขา โดยลองเปลี่ยนเส้นทางเป็นขึ้นจากทางด้าน zermatt ในสวิสเซอร์แลนด์แทน
ปรากฎว่าเส้นทางด้านนี้กลายเป็นเส้นทางที่สามารถขึ้นได้ง่ายกว่าด้านอิตาลี และด้วยความพยายามในครั้งนี้ ในที่สุดคณะทั้ง 7 คนก็พิชิตยอดเขา Matterhorn ได้สำเร็จเป็นคณะแรก ก่อนที่อีกคณะหนึ่งจากด้านอิตาลีจะตามมาสำเร็จเป็นกลุ่มที่สอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงขาลง ขณะที่คณะผู้พิชิตแห่งMatterhornคณะแรกนี้กำลังไต่ลงจากยอดเขานั้น ก็เกิดเหตุการณ์อันเศร้าสลดขึ้นค่ะ เมื่อ Hadow สมาชิกคนหนึ่งในคณะซึ่งถือเป็นผู้อ่อนประสบการณ์ที่สุด ที่ไต่ลงมาเป็นลำดับที่ 2 จากล่างสุดได้ลื่นไถลลงมาทับ Croz ผู้ที่อยู่ล่างสุด ซึ่งทำให้ Croz เสียหลักไถลลงไปด้วย
และโดยที่เชือกที่ใช้ในการปีนผานั้นผูกโยงกันต่อเนื่องไปทั้งคณะ จึงดึงให้ Hudson และ Douglas ที่อยู่ในลำดับที่ 3 และ 4 จากล่าง หลุดออกจากหน้าผาไปด้วย และจากคำบอกเล่าของคณะที่เหลืออยู่ว่าเชือกดังกล่าวได้ขาดระหว่าง Douglas และสามชีวีตที่เหลืออยู่ข้างบนพอดี จึงทำให้สี่คนด้านล่างค่อยๆร่วงลงไปยังธารน้ำแข็งที่ละคนพร้อมกับเสียงร้องที่ค่อยๆจางลงไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเงียบสนิท

สุดท้ายคณะผู้พิชิตยอดเขา Matterhorn จึงรอดชีวิตกลับลงมายังพื้นดิน เพียงแค่ 3 คน คือ Whymper หัวหน้าคณะ และไกด์ท้องถิ่นพ่อลูกค่ะ
แต่เรื่องก็ไม่ได้จบเพียงเท่านี้นะคะ เพราะต่อมา Whymper และไกด์ท้องถิ่นที่รอดชีวิตมาพร้อมกับเขา ก็ถูกรัฐบาลแห่งพันธรัฐ Valias ฟ้องต่อศาลว่าเขาจงใจฆ่าสมาชิกทั้ง4 โดยการตัดเชือกดังกล่าว เพื่อให้ตนเองรอด ซึ่งเขาก็ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองมาโดยตลอดว่าเชือกนั้นขาดเองเนื่องจากการรับน้ำหนักของคนถึงสี่คน และในท้ายที่สุดศาลก็ได้ยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถือเป็นข่าวใหญ่ที่กลายเป็นกระแสดราม่าไปทั่วยุโรป ซึ่งผู้คนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปในหลายๆทาง รวมถึงก็ยังมีกลุ่มนักปีนเขาไม่น้อยที่เชื่อว่าเชือกนั้นไม่มีทางขาดเอง แต่เกิดจากการจงใจตัดมากกว่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วผู้ที่รู้ความจริงดีที่สุดในโลก ก็คงมีแค่บุคคลผู้รอดชีวิตทั้งสามเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วด้วยสิคะ
หลังจากสะเทือนอารมณ์อยู่สักพัก เราออกเดินชมอะไรอีกนิดหน่อยในมิวเซียม ก่อนที่จะออกมาด้านนอกค่ะ
เมื่อออกมาด้านนอกมิวเซียม ก็เจอกับคู่บ่าวสาวกำลังนั่งรถม้าฉลองแต่งงานที่โบสถ์ข้างๆ
สงสัยเป็นเพราะว่าในเมืองนี้ห้ามใช้รถผ่าน ก็เลยใช้รถผูกกระป๋องไม่ได้
เราเดินผ่านโบสถ์ St.Mauritius มาตามถนน Kirchstrasse ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน Steinmattstrasse ตลอดทางเดินสองข้างทางมีแต่โรงแรมและร้านอาหารสวยๆเต็มไปหมด
Leaving the museum, I walked pass St.Mauritius Church into Kirchstrasse Street, crossed the bridge and turned left into Steinmattstrasse which has plenty of nice resorts and restaurants along the way.


ให้ความรู้สึกเหมือนตลาดร้อยปีมั้ยคะ
จากถิ่นบ้านเก่านี้ เดินขึ้นไปนิดเดียวก็จะเจอห้าง Migro ค่ะ
ถึงเราจะถ่ายรูปผักมา แต่เราไม่ได้มาซื้อผัก เรามาซื้ออะไร ไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวก็รู้ค่ะ
There is Migros Supermarket next to Hinterdorf. I bought something here but I won't tell you now!
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าสู่ถนนสายหลัก ลงไปทางทิศใต้ ผ่านมิวเซียมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราจะเดินลงต่อไปตามถนน Oberdorfstrasse
I, then, went to the main street and walked down the street, passed the museum again, and continued to Oberdorfstrasse. This street also leads to the cable car station.
เดินลงมาทางทิศใต้เรื่อยๆ ก็จะเจอกับสถานี cable car ค่ะ
แต่วันนี้เรายังไม่ขึ้น เพราะท้องฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ เราเลยเดินเลยสถานีต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งเส้นทางจะเริ่มเป็นเนินสูงขึ้นค่ะ
I walked pass the cable car station to the other side of the village which is a hill.
หลังจากเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปสักพัก เราก็ย้อนกลับมาทางเดิม แต่ข้ามไปเดินอีกฝั่งของแม่น้ำแทน
I walked back and crossed the bridge to the other side of the river
แล้วก็เดินลงไปที่ทางเดินเลียบแม่น้ำด้านล่าง
Going down to the pathway along the river.
Sitting and breathing the fresh air until 7-8 p.m.
นั่งอยู่แถวทางเดินสักพัก พอประมาณ 1ทุ่มถึง2ทุ่ม เมฆก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออก ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเรากลับกลายเป็นภูเขาทรงปิรามิดตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก เพราะไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็น Matterhorn แล้ว
Looking into the sky, the cloud slowly moved passing the huge object. I, suddenly, found an enormous pyramid standing in front of me.
Wow! I didn't expect that the hiding Matterhorn will come out and say hello to me today :)
หลังจากเก็บภาพภูเขาในตำนานจนหนำใจ เราก็รีบค้นหาของบางอย่างในกระเป๋า ซึ่งเราเพิ่งซื้อมาจากในห้าง Migros
ใช่แล้ว ชอคโกแลต Toblerone นั่นเอง
After taking a hundred shots of the Matterhorn, I hurry seek something I bought from the supermarket.... yeah it is Toblerone!
ในที่สุด เราก็ได้ทำตามความฝันในวัยเด็ก นั่นคือการกินชอคโกแลตToblerone ต่อหน้ายอดเขา Matterhorn เย่!
Finally, I have completed my childhood dream... Eating Toblerone in front of the Matterhorn!
หลังจากนั่งดื่มด่ำกับความสวยงามและอลังการของ Matterhorn อยู่สักชั่วโมงนึง
เราก็เดินกลับเข้ามาในเมือง และกินแมคโดนัล ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักค่ะ
ก็เป็นอันว่าขอจบการเดินทางของวันแรกที่ Zermatt ไว้เพียงเท่านี้นะคะ
แล้วพรุ่งนี้ เราจะเข้าไปให้ใกล้เธอมากกว่านี้นะจ๊ะ Matterhorn
Tonight gonna be a good night for me.
And for the Matterhorn, wait for me, I will come closer to you tomorrow!
Have a good night all!
เนื่องจากถนนหลักเส้นนี้เป็นถนนที่ตรงยาวผ่านกลางเมืองไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆ และที่พัก ไปจนสุดทางขึ้นกระเช้าไปชมยอดเขา Matterhorn ซึ่งระยะทางอยู่ที่ประมาณ 1 กิโลเมตร
ซึ่งถ้าใครขี้เกียจเดิน ก็สามารถใช้บริการแท็กซี่ที่จอดรออยู่ด้านหน้าสถานีได้ค่ะ
Outside the train station is Bahnhofstrasse Street, which leads to the village. As the distance from the train station, passing the village, to the cable car station to Matterhorn Glacier Paradise is about 1 km, they also have a taxi service for if you don't want to walk.
สำหรับ Information centre จะอยู่ทางด้านซ้ายของสถานีรถไฟ ตามภาพค่ะ
I first checked the weather at the Tourist Centre, located next to the train station.
Unfortunately, the weather today was not good for going up to see Matterhorn. I, thus, switched my plan to sightsee the village today and take the cable car tomorrow instead.
นอกจากการขึ้นไปชมยอดเขา Matterhorn โดยการนั่งกระเช้าแล้ว
อีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถขึ้นไปชมวิวยอดเขาได้เช่นกัน คือ การนั่งรถไฟขึ้นไปยังยอดเขา Gornergrat แต่จะเป็นคนละจุดกับการขึ้นไปโดยกระเช้า และจะเห็นยอดเขา Matterhorn จากคนละยอดเขาและจากระยะที่ไกลกว่า
โดยถ้าใครเลือกนั่งรถไฟขึ้นยอดเขา Gornergrat นั้น ก็สามารถขึ้นรถไฟสาย Gornergrat Bahn ได้เลยจากฝั่งตรงข้ามของสถานีรถไฟหลักค่ะ
โดยเราจะต้องจ่ายค่าตั๋วรถไฟขึ้นไปยังยอดเขาต่างหาก ไม่สามารถใช้ Swiss Pass ขึ้นฟรีได้
แต่สามารถใช้เป็นส่วนลด 50%ได้ค่ะ
โดยราคาตั๋วจะขึ้นอยู่กับความสูงของสถานีที่เราจะลงรถไฟค่ะ โดยสถานีปลายทางคือ ยอดเขา Gornergrat ซึ่งค่าตั๋วไป-กลับจะอยู่ที่ 90CHF ค่ะ
https://www.gornergratbahn.ch/en/winter/railway-information/prices/
Apart from visiting Matterhorn by the cableway, there is also an alternative way to see the mountain by the train.
For the railway, you need to take a Gornergrat Bahn line at the GBB Railway Station opposite the main train station.
No free ticket for Swiss Pass Holder. But we can show the card for 50% discount.
The ticket fee depends on the height of the station you get off.
The last and highest station is Gornergrat which is for 90CHF (normal price)
https://www.gornergratbahn.ch/en/winter/railway-information/prices/
These 2 routes lead to different view points for seeing Matterhorn.
As illustrated by the map below,
The blue triangle and circle show the ground train station and the final station (Gornergrat)
The red triangle and circle show the cable car station and the top station (Matterhorn Glacier Paradise), which is higher than.
I planned to go up by the cable car which I can see Matterhorn closer. So I didn't take the Gornergrat train.
แผนที่คร่าวๆแสดงเส้นทางขึ้นสู่จุดชมวิวยอดเขา Matterhorn
โดยสามเหลี่ยมและวงกลมสีฟ้า คือ จุดขึ้นรถไฟ Gornergrat Bahn และยอดเขา Gornergrat ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
ส่วนสามเหลี่ยมและวงกลมสีแดง คือ จุดขึ้นกระเช้า และจุดชมวิว Matterhorn Glacier Paradise ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
เราวางแผนที่จะขึ้นไปบน Matterhorn Glacier Paradise โดยใช้เคเบิ้ลคาร์ จึงไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขา Gornergrat ค่ะ และบวกกับอากาศวันนี้ท้องฟ้าไม่เปิดเท่าไหร่ ไปคุยกับ Info. centre แล้ว เค้าแนะนำว่าพรุ่งนี้อากาศจะดีกว่านี้ เราเลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปชม Matterhorn ในวันพรุ่งนี้แทน
โดยวันนี้เราจะหาที่พักและเที่ยวเล่นในเมืองก่อนค่ะ
ออกมาหน้าสถานีก็เจอฝูงแพะพอดี ที่นี่เค้ายังอนุรักษ์อาชีพพื้นเมืองไว้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
แพะอยู่ข้างหลังนะคะ
จากสถานีรถไฟ เดินลงมาทางทิศใต้ตามถนน Bahnhofstrasse ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมือง
ผ่านร้านค้าและโรงแรมที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง
From the train station, I walked along Bahnhofstrasse into the village, looked for a hotel because I hadn't booked in advance.
แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย เลยแวะเข้าไปในร้านเบเกอรี่ก่อนค่ะ
Stopped at the bakery shop first, as I forgot to have breakfast.
Finally, I got a room at Hotel Weisshorn.
เป็นห้องสำหรับ 5 คนพอดี มีห้องนั่งเล่นและทีวีพร้อม ถามว่าได้ใช้มั้ย ตอบเลยว่าไม่ได้ใช้ค่ะ
หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ภารกิจเดินสำรวจเมืองก็เริ่มต้นค่ะ
A mission to explore the village was started then!
เริ่มต้นที่ Matterhorn Museum ก่อน
สำหรับค่าเข้าชมคนละ 10CHF แต่สามารถใช้ Swiss Passเข้าฟรีได้ค่ะ
Visiting the Matterhorn Museum. Entrance fee is 10CHF
Free for Swiss Pass holder.
โดยมิวเซียมแห่งนี้จะแสดงวิถีชีวิตดั้งเดิม รวมถึงการประกอบอาชีพและวัฒนธรรมของผู้คนในเมืองนี้ จนพัฒนามาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก
The museum tells the story and culture of Zermatt from past to present.
One interesting story for me is the Tragedy on the Matterhorn.
This was happened in 1865 when an Englishman called Whymper decided to conquer the top of Matterhorn again after many times of failures by alpinists all over the world.
He, with his another 6 members, changed the route from the starting point at Italy side to Switzerland side, which is the first time of climbing the mountain from this side.
The team started from Zermatt and found that this side is easier than Italy side. And finally, these 7 people made the first ascent of the Matterhorn before an other group, who climbed from Italy side, followed as the second conqueror.
นอกจากนี้ ยังมีห้องที่แสดงประวัติของการพิชิตยอดเขา Matterhorn ครั้งแรกโดยก่อนปี ค.ศ.1865 นั้นมีผู้ที่พยายามที่จะพิชิตยอดเขาหลายครั้ง ซึ่งเป็นการปีนขึ้นจากด้านอิตาลี แต่ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จค่ะ
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1865 ได้มีชายชาวอังกฤษนามว่า Edward Whymper ได้รวบรวมคณะอีก 6 คน เพื่อพิชิตยอดเขา โดยลองเปลี่ยนเส้นทางเป็นขึ้นจากทางด้าน zermatt ในสวิสเซอร์แลนด์แทน
ปรากฎว่าเส้นทางด้านนี้กลายเป็นเส้นทางที่สามารถขึ้นได้ง่ายกว่าด้านอิตาลี และด้วยความพยายามในครั้งนี้ ในที่สุดคณะทั้ง 7 คนก็พิชิตยอดเขา Matterhorn ได้สำเร็จเป็นคณะแรก ก่อนที่อีกคณะหนึ่งจากด้านอิตาลีจะตามมาสำเร็จเป็นกลุ่มที่สอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงขาลง ขณะที่คณะผู้พิชิตแห่งMatterhornคณะแรกนี้กำลังไต่ลงจากยอดเขานั้น ก็เกิดเหตุการณ์อันเศร้าสลดขึ้นค่ะ เมื่อ Hadow สมาชิกคนหนึ่งในคณะซึ่งถือเป็นผู้อ่อนประสบการณ์ที่สุด ที่ไต่ลงมาเป็นลำดับที่ 2 จากล่างสุดได้ลื่นไถลลงมาทับ Croz ผู้ที่อยู่ล่างสุด ซึ่งทำให้ Croz เสียหลักไถลลงไปด้วย
และโดยที่เชือกที่ใช้ในการปีนผานั้นผูกโยงกันต่อเนื่องไปทั้งคณะ จึงดึงให้ Hudson และ Douglas ที่อยู่ในลำดับที่ 3 และ 4 จากล่าง หลุดออกจากหน้าผาไปด้วย และจากคำบอกเล่าของคณะที่เหลืออยู่ว่าเชือกดังกล่าวได้ขาดระหว่าง Douglas และสามชีวีตที่เหลืออยู่ข้างบนพอดี จึงทำให้สี่คนด้านล่างค่อยๆร่วงลงไปยังธารน้ำแข็งที่ละคนพร้อมกับเสียงร้องที่ค่อยๆจางลงไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเงียบสนิท
Wait, this's just a half of the story. The grief of the story happened when the group of 7 conquerors were descending the mount. When one of the members, Hadow, who was inexperienced, slipped.
With his position as the second sequence from the bottom, he fell on Croz, who firstly descended.
This caused the first two guys falling down. Moreover, as the rope was connected together, it also pulled Hudson and Douglas down.
According to the word from Whymper, who survived with other 2 local guides, he could suddenly grab the rock and the rope was snapped between Douglas and the three survivors. He heard the crying and those guys disappeared from his sight one by one, until everything became silence again.
Finally, there were only 3 survivors back to Zermatt.
However, the cause of dead of the 4 men was controversial. Shortly after, Whymper and the local guide were accused by the government of Valias Canton that they intentionally killed those 4 men by cutting the rope in order to safe their lives.
Whymper still insisted on his innocence. And at the end, he was acquitted.
However, some still believed that this was not an accident.
I think people who know the truth very well are only those three survivors. Unluckily, they also did not survive in the world.
สุดท้ายคณะผู้พิชิตยอดเขา Matterhorn จึงรอดชีวิตกลับลงมายังพื้นดิน เพียงแค่ 3 คน คือ Whymper หัวหน้าคณะ และไกด์ท้องถิ่นพ่อลูกค่ะ
แต่เรื่องก็ไม่ได้จบเพียงเท่านี้นะคะ เพราะต่อมา Whymper และไกด์ท้องถิ่นที่รอดชีวิตมาพร้อมกับเขา ก็ถูกรัฐบาลแห่งพันธรัฐ Valias ฟ้องต่อศาลว่าเขาจงใจฆ่าสมาชิกทั้ง4 โดยการตัดเชือกดังกล่าว เพื่อให้ตนเองรอด ซึ่งเขาก็ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองมาโดยตลอดว่าเชือกนั้นขาดเองเนื่องจากการรับน้ำหนักของคนถึงสี่คน และในท้ายที่สุดศาลก็ได้ยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถือเป็นข่าวใหญ่ที่กลายเป็นกระแสดราม่าไปทั่วยุโรป ซึ่งผู้คนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปในหลายๆทาง รวมถึงก็ยังมีกลุ่มนักปีนเขาไม่น้อยที่เชื่อว่าเชือกนั้นไม่มีทางขาดเอง แต่เกิดจากการจงใจตัดมากกว่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วผู้ที่รู้ความจริงดีที่สุดในโลก ก็คงมีแค่บุคคลผู้รอดชีวิตทั้งสามเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วด้วยสิคะ
หลังจากสะเทือนอารมณ์อยู่สักพัก เราออกเดินชมอะไรอีกนิดหน่อยในมิวเซียม ก่อนที่จะออกมาด้านนอกค่ะ
เมื่อออกมาด้านนอกมิวเซียม ก็เจอกับคู่บ่าวสาวกำลังนั่งรถม้าฉลองแต่งงานที่โบสถ์ข้างๆ
สงสัยเป็นเพราะว่าในเมืองนี้ห้ามใช้รถผ่าน ก็เลยใช้รถผูกกระป๋องไม่ได้
เราเดินผ่านโบสถ์ St.Mauritius มาตามถนน Kirchstrasse ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน Steinmattstrasse ตลอดทางเดินสองข้างทางมีแต่โรงแรมและร้านอาหารสวยๆเต็มไปหมด
Leaving the museum, I walked pass St.Mauritius Church into Kirchstrasse Street, crossed the bridge and turned left into Steinmattstrasse which has plenty of nice resorts and restaurants along the way.
เราเดินตรงขึ้นมาตามถนนเรื่อยๆ แล้วจึงเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน Zumsteg เพื่อข้ามสะพานกลับมาฝั่งเดิม
เมื่อข้ามสะพานแล้ว ก็เดินเข้าไปในถนน Hinterdorfstrasse ซึ่งเราก็ได้เจอกับหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 วางตัวลาดเอียงลงมาตามทางเดินแคบๆ โดยบ้านทุกหลังเป็นบ้านไม้ที่ทำจากต้นสน และใช้แผ่นหินมาทำเป็นหลังคา ซึ่งเป็นสไตล์ดั้งเดิมของที่นี่ค่ะ
Next destination was to visit the old part of the village. I walked through Zumsteg Street and crossed the next bridge back to the first side, went into Hinterdorfstrasse Street which is the location of the old village called Hinterdorf
These buildings were built since 16th century in traditional style. The houses were made by larch timber, and the roofs from slap of stones.
จากถิ่นบ้านเก่านี้ เดินขึ้นไปนิดเดียวก็จะเจอห้าง Migro ค่ะ
ถึงเราจะถ่ายรูปผักมา แต่เราไม่ได้มาซื้อผัก เรามาซื้ออะไร ไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวก็รู้ค่ะ
There is Migros Supermarket next to Hinterdorf. I bought something here but I won't tell you now!
หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าสู่ถนนสายหลัก ลงไปทางทิศใต้ ผ่านมิวเซียมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราจะเดินลงต่อไปตามถนน Oberdorfstrasse
I, then, went to the main street and walked down the street, passed the museum again, and continued to Oberdorfstrasse. This street also leads to the cable car station.
แต่วันนี้เรายังไม่ขึ้น เพราะท้องฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ เราเลยเดินเลยสถานีต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งเส้นทางจะเริ่มเป็นเนินสูงขึ้นค่ะ
I walked pass the cable car station to the other side of the village which is a hill.
หลังจากเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปสักพัก เราก็ย้อนกลับมาทางเดิม แต่ข้ามไปเดินอีกฝั่งของแม่น้ำแทน
I walked back and crossed the bridge to the other side of the river
แล้วก็เดินลงไปที่ทางเดินเลียบแม่น้ำด้านล่าง
Going down to the pathway along the river.
Sitting and breathing the fresh air until 7-8 p.m.
นั่งอยู่แถวทางเดินสักพัก พอประมาณ 1ทุ่มถึง2ทุ่ม เมฆก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออก ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเรากลับกลายเป็นภูเขาทรงปิรามิดตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก เพราะไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็น Matterhorn แล้ว
Looking into the sky, the cloud slowly moved passing the huge object. I, suddenly, found an enormous pyramid standing in front of me.
Wow! I didn't expect that the hiding Matterhorn will come out and say hello to me today :)
หลังจากเก็บภาพภูเขาในตำนานจนหนำใจ เราก็รีบค้นหาของบางอย่างในกระเป๋า ซึ่งเราเพิ่งซื้อมาจากในห้าง Migros
ใช่แล้ว ชอคโกแลต Toblerone นั่นเอง
After taking a hundred shots of the Matterhorn, I hurry seek something I bought from the supermarket.... yeah it is Toblerone!
ในที่สุด เราก็ได้ทำตามความฝันในวัยเด็ก นั่นคือการกินชอคโกแลตToblerone ต่อหน้ายอดเขา Matterhorn เย่!
Finally, I have completed my childhood dream... Eating Toblerone in front of the Matterhorn!
หลังจากนั่งดื่มด่ำกับความสวยงามและอลังการของ Matterhorn อยู่สักชั่วโมงนึง
เราก็เดินกลับเข้ามาในเมือง และกินแมคโดนัล ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักค่ะ
ก็เป็นอันว่าขอจบการเดินทางของวันแรกที่ Zermatt ไว้เพียงเท่านี้นะคะ
แล้วพรุ่งนี้ เราจะเข้าไปให้ใกล้เธอมากกว่านี้นะจ๊ะ Matterhorn
Tonight gonna be a good night for me.
And for the Matterhorn, wait for me, I will come closer to you tomorrow!
Have a good night all!
No comments:
Post a Comment